เปิด 26 ข้อห้ามสมัครเลือกตั้ง อบต. ฝ่าฝืนโทษคุกสูงสุด 10 ปี ถอนสิทธิ 20 ปี    

10 ต.ค. 2564 | 07:48 น.

เปิด 26 ลักษณะต้องห้ามลงสมัครรับ “เลือกตั้ง อบต.” พบใครขาดคุณสมบัติ เจอโทษจำคุกตั้งแต่ 1-10 ปี ปรับ 2 หมื่นถึง 2 แสนบาท ทั้งเพิกถอนสิทธิเลือกตั้ง 20 ปี

พ.ต.อ.จรุงวิทย์ ภุมมา เลขาธิการคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) กล่าวถึงการเลือกตั้งองค์การบริหารส่วนตำบล(อบต.)  หรือ การ “เลือกตั้ง อบต.”ทั้ง การเลือกตั้งสมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนตำบล (ส.อบต.) และ นายกองค์การบริหารส่วนตำบล (นายก อบต.) 5,300 แห่งทั่วประเทศ ว่า สำหรับการเปิดรับสมัครจะมีขึ้นระหว่างวันที่ 11-15 ตุลาคมนี้

 

ขณะนี้ภาพรวมทั่วประเทศเป็นไปด้วยความเรียบร้อย ยังไม่ได้รับรายงานว่าพื้นที่ใดพบปัญหาหรืออุปสรรคใด ซึ่งได้กำชับเจ้าหน้าที่ผู้รับสมัครให้ปฏิบัติตามแนวทางที่ได้วางไว้อย่างเคร่งครัด รวมทั้งให้ปฏิบัติตามมาตรการด้านสาธารณสุขเพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของโควิดด้วย

 

ส่วนของผู้ประสงค์ที่จะลงสมัครรับเลือกตั้ง มีความเป็นห่วงว่าจะมีผู้ที่ไม่มีคุณสมบัติหรือมีลักษณะต้องห้ามมาลงสมัคร จึงอยากย้ำเตือนว่าขอให้ตรวจสอบคุณสมบัติให้เรียบร้อย เพราะไม่อยากให้เป็นเรื่องหรือคดีความ

                      ไทม์ไลน์เลือกตั้ง อบต.

ทั้งนี้ ตามที่ กกต.ได้กำหนดให้มีการเลือกตั้ง สมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนตําบล และ นายกองค์การบริหารส่วนตำบล ในวันอาทิตย์ที่ 28 พ.ย.2564 และวันรับสมัคร ระหว่างวันจันทร์ที่ 11 – 15 ต.ค.2564 นั้น

 

พ.ร.บ.การเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น พ.ศ.2562 มาตรา 50 ได้กําหนดลักษณะต้องห้ามของผู้สมัครรับเลือกตั้งไว้ดังนี้

 

1. ติดยาเสพติดให้โทษ

 

2. เป็นบุคคลล้มละลายหรือเคยเป็นบุคคลล้มละลายทุจริต

3. เป็นเจ้าของหรือผู้ถือหุ้นในกิจการหนังสือพิมพ์หรือสื่อมวลชนใด ๆ

 

4 .เป็นบุคคลผู้มีลักษณะต้องห้ามมิให้ใช้สิทธิเลือกตั้ง ตามมาตรา 35 (1) เป็นภิกษุสามเณร นักพรตหรือนักบวช (2) อยู่ระหว่างถูกเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งไม่ว่าคดีนั้นจะถึงที่สุดหรือไม่หรือ (3) วิกลจริต หรือจิตฟันเฟือนไม่สมประกอบ

 

5. อยู่ระหว่างถูกระงับการใช้สิทธิสมัครรับเลือกตั้งเป็นการชั่วคราวหรือถูกเพิกถอนสิทธิ สมัครรับเลือกตั้ง

 

6. ต้องคําพิพากษาให้จําคุกและถูกคุมขังอยู่โดยหมายของศาล

 

7. เคยได้รับโทษจําคุกโดยได้พ้นโทษมายังไม่ถึง 5 ปีนับถึงวันเลือกตั้ง เว้นแต่ในความผิดอันได้กระทําโดยประมาท หรือ ความผิดลหุโทษ

 

8. เคยถูกสั่งให้พ้นจากราชการ หน่วยงานของรัฐ หรือรัฐวิสาหกิจเพราะทุจริตต่อหน้าที่ หรือถือว่ากระทําการทุจริต หรือ ประพฤติมิชอบในวงราชการ

9. เคยต้องคําพิพากษา หรือ คําสั่งของศาลอันถึงที่สุดให้ทรัพย์สินตกเป็นของแผ่นดินเพราะร่ำรวยผิดปกติ หรือเคยต้องคําพิพากษาอันถึงที่สุดให้ลงโทษจําคุก เพราะกระทําความผิดตามกฎหมายว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต

 

10. เคยต้องคําพิพากษาอันถึงที่สุดว่ากระทําความผิดต่อตําแหน่งหน้าที่ราชการหรือต่อตําแหน่งหน้าที่ในการยุติธรรม หรือกระทําความผิดตามกฎหมายว่าด้วยความผิดของพนักงานในองค์การหรือหน่วยงานของรัฐ หรือความผิดเกี่ยวกับทรัพย์ที่กระทําโดยทุจริตตามประมวลกฎหมายอาญา ความผิดตามกฎหมาย ว่าด้วยการกู้ยืมเงินที่เป็นการฉ้อโกงประชาชน กฎหมายว่าด้วยยาเสพติดในความผิดฐานเป็นผู้ผลิต นําเข้า ส่งออก หรือผู้ค้า กฎหมายว่าด้วยการพนันในความผิดฐานเป็นเจ้ามือ หรือเจ้าสํานักกฎหมายว่าด้วยการป้องกันและ ปราบปรามการค้ามนุษย์ หรือกฎหมายว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงินในความผิดฐานฟอกเงิน

 

11. เคยต้องคําพิพากษาอันถึงที่สุดว่ากระทําการอันเป็นการทุจริตในการเลือกตั้ง

 

12. เป็นข้าราชการซึ่งมีตําแหน่งหรือเงินเดือนประจํา

 

13. เป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร สมาชิกวุฒิสภา สมาชิกสภาท้องถิ่น หรือผู้บริหารท้องถิ่น

 

14 เป็นพนักงานหรือลูกจ้างของหน่วยราชการ หน่วยงานของรัฐ รัฐวิสาหกิจ หรือราชการ ส่วนท้องถิ่น หรือเป็นเจ้าหน้าที่อื่นของรัฐ

 

15. เป็นตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ หรือผู้ดำรงตําแหน่งในองค์กรอิสระ

 

16. อยู่ในระหว่างต้องห้ามมิให้ดํารงตําแหน่งทางการเมือง

 

17. เคยพ้นจากตําแหน่งเพราะศาลฎีกา หรื อศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดํารงตําแหน่งทางการเมือง มีคําพิพากษาว่าเป็นผู้มีพฤติการณ์ร่ำรวยผิดปกติ หรือกระทําความผิดฐานทุจริตต่อหน้าที่หรือ จงใจปฏิบัติหน้าที่หรือใช้อํานาจขัดต่อบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญหรือกฎหมาย หรือฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตาม มาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรง

 

18. ต้องคําพิพากษาถึงที่สุดว่ากระทําความผิดตามพระราชบัญญัตินี้ ไม่ว่าจะได้รับโทษหรือไม่ โดยได้พ้นโทษ หรือ ต้องคําพิพากษามายังไม่ถึง 5 ปีนับถึงวันเลือกตั้ง แล้วแต่กรณี

 

19. เคยถูกถอดถอนออกจากตําแหน่งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร สมาชิกวุฒิสภา สมาชิกสภาท้องถิ่น หรือผู้บริหารท้องถิ่น ตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย หรือกฎหมาย ว่าด้วยการลงคะแนนเสียงเพื่อถอดถอนสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่นแล้วแต่กรณี มายังไม่ถึงห้าปีนับถึงวันเลือกตั้ง

 

20. อยู่ในระหว่างถูกจํากัดสิทธิสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น ตามมาตรา 42 หรือตามกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร

21. เคยถูกเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งและยังไม่พ้น 5 ปี นับแต่วันที่พ้นจากการถูกเพิกถอนสิทธิ เลือกตั้งจนถึงวันเลือกตั้ง

 

22. เป็นผู้สมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร หรือ รับเลือกเป็นสมาชิกวุฒิสภา หรือ เป็นผู้สมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาท้องถิ่น หรือ ผู้บริหารท้องถิ่นขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเดียวกันหรือ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นอื่น

 

23. เคยพ้นจากตําแหน่งใดๆ ในองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เพราะเหตุมีส่วนได้เสียไม่ว่า โดยทางตรง หรือ ทางอ้อมในสัญญา หรือ กิจการที่กระทําหรือจะกระทํากับ หรือให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นนั้น หรือมีส่วนได้เสียไม่ว่าโดยทางตรงหรือทางอ้อมในสัญญา หรือ กิจการที่กระทํากับ หรือจะกระทํากับหรือให้แก่ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นอื่น โดยมีพฤติการณ์แสดงให้เห็นว่าเป็นการต่างตอบแทนหรือเอื้อประโยชน์ส่วนตน ระหว่างกัน และยังไม่พ้นห้าปีนับแต่วันที่พ้นจากตําแหน่งจนถึงวันเลือกตั้ง

 

24. เคยถูกสั่งให้พ้นจากตําแหน่งใดๆ ในองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเพราะจงใจไม่ปฏิบัติ ตามกฎหมาย กฎ ระเบียบของทางราชการ หรือมติคณะรัฐมนตรี อันเป็นเหตุให้เสียหายแก่ราชการอย่างร้ายแรง และยังไม่พ้นห้าปีนับแต่วันที่พ้นจากตําแหน่งจนถึงวันเลือกตั้ง

 

25. เคยถูกสั่งให้พ้นจากตําแหน่งใดๆ ในองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเพราะทอดทิ้งหรือละเลย ไม่ปฏิบัติการตามหน้าที่และอํานาจ หรือปฏิบัติการไม่ชอบด้วยหน้าที่และอํานาจ หรือประพฤติตนฝ่าฝืน ต่อความสงบเรียบร้อย หรือ สวัสดิภาพของประชาชน หรือมีความประพฤติในทางที่จะนํามาซึ่งความเสื่อมเสีย แก่ศักดิ์ตําแหน่ง หรือแก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น หรือแก่ราชการ และยังไม่พ้นห้าปีนับแต่วันที่พ้นจาก ตําแหน่งจนถึงวันเลือกตั้ง

 

26. ลักษณะอื่นตามที่กฎหมายว่าด้วยการจัดตั้งองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นกําหนด

 

สำหรับผู้สมัครรับเลือกตั้งโดยรู้ว่าตนเองขาดคุณสมบัติ หรือ มีลักษณะต้องห้ามในการสมัคร มีโทษตามมาตรา 120 ที่บัญญัติว่า ผู้ใดลงสมัครรับเลือกตั้งโดยรู้อยู่แล้วว่าตนเป็นผู้ขาดคุณสมบัติหรือ มีลักษณะต้องห้ามในการสมัครรับเลือกตั้ง ต้องระวางโทษจําคุกตั้งแต่ 1 ปี ถึง 10 ปี และปรับตั้งแต่ 20,000 บาท ถึง 200,000 บาท และให้ศาลสั่งเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งของผู้นั้นมีกําหนด 20 ปี