“ไทยสร้างไทย”ขู่เอาผิดรัฐบาลจัดหา“วัคซีนโควิด”ไม่มีประสิทธิภาพ

30 มิ.ย. 2564 | 10:17 น.

“ไทยสร้างไทย”ขู่เอาผิดรัฐบาลจัดหา“วัคซีนโควิด-19”ไม่มีประสิทธิภาพและตรงความต้องการประชาชน ขู่เพิกเฉยเจอดำเนินคดีข้อหาละเว้นปฏิบัติหน้า มีความผิดตามรัฐธรรมนูญ ม.55

วันนี้(30 มิ.ย.64) นายวัฒนา เมืองสุข ประธานคณะกรรมการกฎหมายและการเมืองพรรคไทยสร้างไทย โพสต์เฟสบุ๊คส่วนตัว ระบุถึงการบริหารจัดการสถานการณ์โควิด-19 ของรัฐบาลในขณะนี้ว่า 

ข้อเท็จจริงที่ต้องยอมรับกันในขณะนี้คือ ประชาชนจำนวนมากซึ่งรวมถึงบุคลากรทางการแพทย์มีความไม่เชื่อมั่นในวัคซีนที่รัฐบาลจัดให้ว่า จะมีประสิทธิภาพเพียงพอที่จะป้องกันหรือรักษาชีวิตของตนจากโควิด-19 ได้ จึงเกิดการเรียกร้องให้รัฐบาลจัดหาวัคซีนที่เชื่อว่ามีประสิทธิภาพมากกว่ามาให้ประชาชน และรัฐธรรมนูญมาตรา 55 วรรคแรกเขียนว่า “รัฐต้องดำเนินการให้ประชาชนได้รับบริการสาธารณสุขที่มีประสิทธิภาพอย่างทั่วถึง” 

ประกอบกับเงินที่ใช้ซื้อวัคซีนมาจากภาษีของประชาชน โดยรัฐมีหน้าที่จัดซื้อจัดหา ประชาชนในฐานะผู้จ่ายเงิน จึงควรมีสิทธิที่จะเลือกสินค้า หรืออย่างน้อยก็ต้องพอใจในคุณภาพของสินค้าที่ตนเองเป็นผู้จ่ายเงิน ไม่ใช่ถูกยัดเยียดให้ยอมรับเหมือนเป็นการสงเคราะห์ หรือเป็นการให้ทานแบบที่กำลังเกิดขึ้น

 


“รัฐและผู้มีหน้าที่เกี่ยวข้องพึงสำนึกว่า การจัดหาวัคซีนที่มีคุณภาพให้กับประชาชนเป็น “หน้าที่” จึงต้องทำให้ดีและสร้างความพึงพอใจให้กับประชาชนผู้เป็นเจ้าของเงินและอำนาจให้มากที่สุด หาไม่แล้วผู้ที่มีหน้าที่จัดหาวัคซีนอาจจะถูกดำเนินคดีในข้อหาปฏิบัติ หรือ ละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ 

นายวัฒนา ระบุว่า ผลที่เป็นเช่นนี้เกิดการบริหารแบบอำนาจนิยมโดยมี “รัฐราชการ” เป็นกลไก เราจึงเห็นนายกรัฐมนตรีไม่ต้องสนใจประชาชน เพราะการเป็นนายกฯ มิได้มาจากประชาชน แต่มาจากมือของ ส.ว. ที่รัฐธรรมนูญไปให้ นายกฯ จึงกล้าพูดเล่นกรณีสั่งห้ามคนทานอาหารในร้านว่า “take me home country road” หรือ “นะจ๊ะ” ทั้งที่อยู่บนสถานการณ์ความเป็นความตายและความเดือดร้อนของประชาชน

 

นายวัฒนา ระบุด้วยว่า นโยบายสำคัญข้อหนึ่งของพรรคไทยสร้างไทยคือ “การขจัดรัฐราชการ” เพื่อสร้างรัฐประชาชนที่บริหารโดยคำนึงถึงประโยชน์สูงสุดของประชาชน และทำให้ประชาชนสามารถให้คุณให้โทษกับข้าราชการและนักการเมืองได้ เพราะรัฐราชการที่นอกจากจะเป็นภาระแก่งบประมาณ แต่ไม่เคยเห็นหัวประชาชนแล้ว ยังเป็นตัวฉุดรั้งความเจริญของประเทศอีกด้วย ฐานะทางการคลังของประเทศที่กำลังเข้าสู่ภาวะล้มละลายและสภาพเศรษฐกิจที่ประชาชนกำลังไม่มีจะกิน คือสัญญาณที่แสดงให้เห็นแล้วว่าประเทศนี้ต้องเปลี่ยนแปลงทั้งวิธีบริหารและโครงสร้างทางเศรษฐกิจ