คลื่นลูกใหม่ทยอยทดแทนคลื่นลูกเก่า การเมืองท้องถิ่นในจังหวัดตรังถึงคราวเปลี่ยนแปลง เมื่อ “กิจ หลีกภัย” อดีตนายก อบจ.ตรัง 4 สมัย ทำงานในเส้นทางอบจ.ยาวนานถึง 25 ปีเต็ม พี่ชาย “ชวน หลีกภัย” อดีตนายกรัฐมนตรี 2 สมัย ปัจจุบันนั่งเก้าอี้ประธานรัฐสภา ประกาศวางมือในการเลือกตั้งชิงชัยเก้าอี้ นายก อบจ.ตรัง 20 ธ.ค. 2563 นี้
เปิดเวทีให้เป็นการแข่งขันระหว่างผู้สมัครรายใหม่ ที่ต้องแย่งชิงคะแนนนิยมจากชาวจังหวัดตรัง เพื่อชิงเก้าอี้แชมป์ตัวนี้กันเอง แต่ เมื่อได้ผู้สมัครครบปรากฎว่า 2 ใน 3 ราย และวงการยกให้เป็นคู่ชิงนั้น เป็นคนของพรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) ที่ต่างจัดทีมลงแข่งกันเอง เพื่อขยายเครือข่ายอิทธิพลขึ้นมาทดแทน
โดยผู้สมัครรับเลือกตั้งเป็นนายก อบจ.ตรัง และจัดทีมส่งสมัครสมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัด(ส.อบจ.) ตรัง อีก 30 เขต ประกอบด้วย
หมายเลข 1 นายบุ่นเล้ง โล่สถาพรพิพิธ ในนามทีม “กิจปวงชน”
หมายเลข 2 นายสาธร วงษ์หนองเตย ในนามทีม “ตรังพัฒนาเมืองตรัง” และ
หมายเลข 3 นายภูผา ทองนอก ในนาม “คณะก้าวหน้า”
เห็นชื่อ-นามสกุล ผู้สมัคร 2 คนแรก ก็ชัดเจนว่าเป็นคนในครอบครัวนักการเมืองระดับชาติของตรัง โดยต่างเป็นส.ส.ตรัง พรรคประชาธิปัตย์ ต่อเนื่องมาหลายสมัย ต่างจัดทีมส่งคนลงสมัครชิงเก้าอี้ ทำให้แฟนคลับปชป.ในตรังต้องชั่ง ใจว่าจะเลือก “ใคร”
“โกเล้ง” หรือ บุ่นเล้ง โล่สถาพรพิพิธ อายุ 66 ปี ทุกวันนี้ยังใช้เวลาวันเสาร์-อาทิตย์ ลงทะเบียนเรียนปริญญาตรีและปริญญาโท เป็นนักธุรกิจรับเหมาก่อสร้าง แสดงฝีมือการบริหารกิจการจนเติบโต เป็นผู้รับเหมางานภาครัฐรายใหญ่ในตรังและจังหวัดใกล้เคียง ปี 2543 เคยก้าวเท้าสู่ถนนการเมืองท้องถิ่น ลงสมัครได้รับเลือกตั้งเป็นส.อบจ.ตรัง จากเขต อ.ปะเหลียน
ศึกชิงเก้าอี้นายก อบจ.ตรัง ครั้งนี้ “โกเล้ง” ได้แรงหนุนจากเครือข่ายการเมืองของครอบครัว “โล่สถาพรพิพิธ” ที่มีฐานเสียงในพื้นที่เลือกตั้งส.ส.เขต 3 ซึ่งอยู่โซนใต้ของตรัง “โกเล้ง” มีพี่ชายคือ สมศักดิ์ โล่สถาพรพิพิธ อดีต ส.ว.เลือกตั้ง 2 สมัย และเป็นพี่ชายของ “สมชาย โล่สถาพรพิพิธ” อดีตส.ส.หลายสมัย ที่มีบทบาทสูงเป็นผู้กว้างขวางมีชื่อเสียงอีกคนหนึ่ง โดยเวลานี้โกเล้งยังเป็นลุงของ นางสาวสุณัฐชา โล่สถาพรพิพิธ ส.ส.หน้าใหม่ เขต 3 ตรัง พรรคประชาธิปัตย์
ความเป็นตระกูลนักการเมืองที่ตรังต่อเนื่องยาวนาน เมื่อ “กิจ หลีกภัย” ขอวางมือ ยังรับเป็นที่ปรึกษาให้แก่ทีม “กิจปวงชน” ต่อ และ ส่งไม้ต่อให้ “โกเล้ง” เป็นหัวหน้าทีมลงชิงชัย พร้อมส่งตัวแทนทีม “กิจปวงชน” ซึ่งส่วนใหญ่เป็นเครือข่ายนักการเมืองท้องถิ่นเดิมลงทั้ง 30 เขต
จากฐานคะแนนเสียงที่หนาแน่น แถมได้รับไม้ต่อให้นำทีม “กิจปวงชน” ลงสนาม “โกเล้ง” มั่นใจสุดๆ ในวันสมัครรับเลือกตั้งก็ให้สัมภาษณ์ประกาศว่า เลือกตั้งครั้งนี้ต้องชนะแน่นอน
การหาเสียงของทีมกิจปวงชนภายใต้การนำของ “โกเล้ง” ได้ให้ผู้สมัครส.อบจ.แต่ละเขตลงพื้นที่ทำคะแนนโดยชูเลือก “กิจปวงชน” ทั้งทีมคือ ทั้ง นายก อบจ.และส.อบจ.ในแต่ละเขต
ส่วนตัว “โกเล้ง” ล่าสุดออกสโลแกนในการหาเสียง “เชื่อมั่นโกเล้งคำไหนคำนั้น”
ฟากฝั่ง “สาธร” ก็เป็นตัวแทนตระกูลการเมืองของตรัง โดยสาธรเป็นน้องชาย นายสาทิตย์ วงศ์หนองเตย ส.ส.หลายสมัยพรรคประชาธิปัตย์ ซึ่งมีบทบาทโดนเด่นในสภา จากความเป็น “นักไฮปาร์ค” ระดับแถวหน้าอีกคนของพรรค รวมถึงวีรกรรมลาออกจากส.ส.ไปร่วมกับ “สุเทพ เทือกสุบรรณ” เป็นหนึ่งในแกนนำ กปปส.
สาธร อายุ 58 ปี จบการศึกษาระดับปริญญาโท เคยลงสมัครรับเลือกตั้งเป็น ส.อบจ. เขตอำเภอห้วยยอด เมื่อปี 2543 แต่สอบตก ปัจจุบันเป็นผู้ช่วยส.ส.ให้สาทิตย์ พี่ชาย และช่วยครอบครัวดูแลธุรกิจโรงงานผลิตกล่องกระดาษ
“สาธร” ลงสนามในนามทีม “ตรังพัฒนาเมืองตรัง” พร้อมส่งลูกทีมลงสมัครส.อบจ.ตรัง แต่ไม่ครบทั้ง 30 เขต โดยใช้ “สีเหลือง” เป็นสัญลักษณ์ของทีม หลังสมัครได้เบอร์เลือกตั้งแล้ว ใช้กลยุทธ์หาเสียงเดิน 2 ขา “O to O - Offline to Online” ทั้งโหมลงพื้นที่พบปะชาวบ้าน ขณะเดียวกันก็เผยแพร่การหาเสียงทางสื่อสังคมออนไลน์ทุกช่องทางควบคู่กันไป โดยใช้สโลแกน “เปลี่ยนตรังให้ดังกว่าเดิม” เพื่อเรียกคะแนนนิยม
เพื่อให้บรรลุเป้าหมายเปลี่ยนตรังฯ สาธร เสนอนโยบาย 12 ประการ ที่ทีม “ตรังพัฒนาเมืองตรัง” ได้เตรียมการอย่างดีไว้พร้อมแล้ว เพื่อ “5 เปลี่ยน” คือ 1. เปลี่ยนความยากจน ด้วยการส่งเสริมอาชีพ ท่องเที่ยวหลากหลาย รวมกลุ่มวิสาหกิจ สินค้าเกษตรบุกออนไลน์
2. เปลี่ยนเงินในคลังอบจ. ไปใช้พัฒนาตรังอย่างมียุทธศาสตร์และโปร่งใส 3. เปลี่ยนเสียงคนตรังต้องดังเท่ากัน เน้นการมีส่วนร่วม
ทุกภาคส่วนในรูป “สภาเมือง” 4. เปลี่ยนคุณภาพชีวิต ใช้ที่อบจ.นับร้อยไร่ที่อำเภอวังวิเศษ สร้างเป็นโรงพยาบาลใหญ่ รองรับการเติบโตของฝั่งอันดามัน 5. เปลี่ยนโครงสร้างการเมือง จากแบบเก่าการเมืองตัวแทน เป็นการเมืองใหม่ภาค ประชาชน
ส่วนหมายเลข 3 นายภูผา ทองนอก ประกอบอาชีพทนายความ ผู้สนับสนุนพรรคอนาคตใหม่ ครั้งนี้สมัครในนามคณะก้าวหนน้า ของ นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ประธานคณะพรรคก้าวหน้า ที่หวังปูฐานการเมืองท้องถิ่นนั้น วงการชี้ตรงกันว่า ยังยากจะแหวกคะแนนพื้นฐานของคู่แข่งที่ผูกกับพรรคขึ้นมาได้โดยการเลือกตั้งส.ส.ที่ผ่านมา ผู้ สมัครของพรรคอนาคตใหม่ ได้คะแนนรวมที่ตรังในระดับ 40,836 คะแนน เทียบคะแนนของประชาธิปัตย์ที่ได้ 137,574 คะแนน จากผู้มาใช้สิทธิ์ออกเสียงเลือกตั้งทั้งจังหวัดที่ 365,802 คะแนน
แวดวงการเมืองท้องถิ่นตรัง ผ่าคะแนนพื้นฐานของ 2 คู่แข่งชิงนายก อบจ.ตรังแล้ว หากประเมินจากฐานเสียงแฟนพันธุ์แท้ ปชป.
“โกเล้ง” เบอร์ 1 ได้เปรียบ “สาธร” เล็กน้อย แต่หากประเมินผู้มาใช้สิทธิ์ทั้งหมดถือว่า “สูสี” ต่างมีสิทธิชิงดำเข้าป้ายชิงเก้าอี้แชมป์ได้ทั้งคู่
โดย “โกเล้ง” หรือ “มังกรทิศใต้” จากที่ตระกูล “โล่สถาพรพิพิธ” มีฐานคะแนนเสียงในเขตเลือกตั้งที่ 3 ตรัง ที่ประกอบด้วย อ.ย่านตาขาว ปะเหลียน หาดสำราญ และ กันตังบางส่วน การเลือกตั้งส.ส.ล่าสุด สุณัฐชา โล่สถาพรพิพิธ คว้าส.ส. เขต 3 ตรัง มาด้วยคะแนน 51,602 คะแนน
ด้าน “สาธร” ที่เปรียบเสมือน “พญาเสือทิศเหนือ” นั้น สาทิตย์ วงศ์หนองเตย ก็ปักฐานอยู่ในเขต 2 ที่มี อ.ห้วยยอด รัษฎา วังวิเศษ สิเกา และกันตังบางส่วน โดยเลือกตั้งล่า สุด ยังรักษาเก้าอี้ไว้ได้ด้วยคะแนน 47,640 คะแนน
คะแนนพื้นฐานพรรคประชา ธิปัตย์ในเขต 3 ของ “โล่สถาพรพิพิธ” เหนือกว่าเล็กน้อย
อยู่ที่ว่าคะแนนประชาธิปัตย์เขต 1 ตรัง ที่ นพ.สุกิจ อัตโถปกรณ์ ลงสู้ศึกได้คะแนนมา 38,332 คะแนน ไม่พอส่งให้เข้าสภาเป็นส.ส.ได้คะแนนส่วนนี้จะแบ่งให้ “โกเล้ง” หรือ “สาธร” นั้น ต้องดู “สัญญาณ” จากคนชื่อ “ชวน หลีกภัย”
แต่…ยังประกาศชัยชนะไม่ได้
เพราะหากใช้ตัวเลขการ เลือกตั้งส.ส.ล่าสุด เป็นฐานประเมินแล้ว คะแนนพื้นฐานประชาธิปัตย์ที่ตรังล่าสุดนั้น มีแค่ 1 ใน 3 คือ ได้คะแนนทั้งจังหวัดรวม 137,574 คะแนน จากผู้ใช้สิทธิ์เลือกตั้ง 365,802 คะแนน โดยคะแนนอีก 2 ใน 3 หรือ 228,228 คะแนน กระจายไปหลายพรรคคือ พลังประชารัฐ ได้ 103,892 คะแนน อนาคตใหม่ได้ 40,836 คะแนน และพรรคอื่นๆ รวมกันอีก 83,500 คะแนน
คู่ชิง “มังกรทางใต้-พญาเสือ ทิศเหนือ” จะหวังเฉพาะเสียงพื้นฐานของพรรคอาจพลาดเป้าใหญ่ ต้องเปิดกลยุทธแย่งชิงคะแนนเสียงจากผู้ที่เคยเลือกพรรคอื่นในการเลือกตั้งส.ส. เปลี่ยนมาเป็นคะแนนของตนเองให้ได้มากที่สุด จึงจะประกาศชัยชนะได้ คือ เกินกึ่งหนึ่งของผู้มาใช้สิทธิ์ทั้งหมด
หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ฉบับ 3,636 หน้า 10 วันที่ 17 - 19 ธันวาคม 2563