พลิกปูมคดี นปช.บุก "บ้านป๋าเปรม" ปลายทางคุก 4 แกนนำ

26 มิ.ย. 2563 | 06:24 น.

คำพิพากษาศาลฎีกา คดีนปช. บุกบ้านป๋าเปรม สี่เสาเทเวศร์ มาถึงจุดจบในวันที่ 26 มิ.ย.63 เมื่อศาลฎีกามีคำพิพากษา สั่งจำคุกพวกจำเลยโดยไม่รอลงอาญา

ในที่สุดศาลฎีกาก็ได้มีคำพิพากษาสั่งจำคุก แกนนนำนปช. โดยเฉพาะ “วีระกานต์-ณัฐวุฒิ-เหวง-วิภูแถลง” เจอเข้าไปคนละ 2 ปี 8 เดือน ในคดีชุมนุมปิดล้อมบ้านพักสี่เสาเทเวศร์ ของ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ อดีตประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษ เมื่อปี 2550

 

คดีนี้พนักงานอัยการฝ่ายคดีอาญา เป็นโจทก์ฟ้อง นายนพรุจ วรชิตวุฒิกุล อดีตแกนนำกลุ่มพิราบขาว 2006, นายวีระศักดิ์ เหมะธุลิน , นายวันชัย นาพุทธา , นายวีระกานต์ มุสิกพงศ์ อดีตประธานแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) , นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ เลขาธิการ นปช. , นายวิภูแถลง พัฒนภูมิไท และ นพ.เหวง โตจิราการ แกนนำ นปช.เป็นจำเลยที่ 1 - 7 ในความผิดฐานมั่วสุมกันตั้งแต่ 10 คนขึ้นไป ใช้กำลังประทุษร้าย ก่อให้เกิดความวุ่นวายในบ้านเมืองฯ

 

จากกรณีเมื่อวันที่ 22 ก.ค.2550 แกนนำและแนวร่วม นปช.นำขบวนผู้ชุมนุมหลายพันคน จากเวทีปราศรัยเคลื่อนที่สนามหลวง ไปยังบ้านพักสี่เสาเทเวศร์ของ พล.อ.เปรม เพื่อเรียกร้องกดดันให้ลาออกจากตำแหน่ง โดยระหว่างเหตุการณ์ดังกล่าว มีการต่อสู้ขัดขวางเจ้าพนักงานโดยใช้กำลังขู่เข็ญ ซึ่งนายนพรุจ จำเลยที่ 1 ได้ใช้ไม้เสาธง ตีประทุษร้ายร่างกาย ร.ต.อ.ทวีศักดิ์ นามจันทร์เจียม เป็นเหตุให้กระดูกข้อมือแตกเป็นอันตรายสาหัส

 

คดีนี้ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษา เมื่อวันที่ 16 ก.ย.2558 ให้จำคุกนายนพรุจ จำเลยที่ 1 เป็นเวลา 2 ปี 8 เดือน ฐานทำร้ายร่างกายเจ้าพนักงานซึ่งปฏิบัติหน้าที่ฯ ส่วนนายวีระกานต์ , นายณัฐวุฒิ , นายวิภูแถลง และ นพ.เหวง จำเลยที่ 4 - 7 คนละ 4 ปี 4 เดือน ฐานมั่วสุมกันตั้งแต่ 10 คนขึ้นไป ใช้กำลังประทุษร้ายฯ และเป็นผู้ใช้ให้ผู้อื่นขัดขวางการปฏิบัติหน้าที่ของ เจ้าพนักงานฯ ให้ยกฟ้องนายวีระศักดิ์และนายวันชัย จำเลยที่ 2 - 3 ริบของกลางทั้งหมดต่อมาเมื่อวันที่ 10 ม.ค.2560

 

ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า พวกจำเลยมีความผิดฐานเป็น ผู้สนับสนุน ต่อสู้ขัดขวางเจ้าพนักงานฯ ตามมาตรา 138 วรรคสอง ให้จำคุกคนละ 1 ปี และมีความผิดฐานมั่วสุมตั้งแต่ 10 คนขึ้นไป ก่อให้เกิดความวุ่นวายโดยเป็นหัวหน้าสั่งการ ซึ่งเจ้าพนักงานสั่งให้เลิกแล้วไม่เลิก ตามมาตรา 215 วรรคหนึ่งและวรรคสาม, มาตรา 216 ประกอบมาตรา 83 ซึ่งเป็นการกระทำกรรมเดียว แต่ผิดกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษตามมาตรา 215 วรรคสาม เพียงกรรมเดียว จำคุกคนละ 3 ปี รวมจำคุกจำเลยที่ 4-7 คนละ 4 ปี คำให้การเป็นประโยชน์ต่อการพิจารณาคดีอยู่บ้าง ลดโทษให้ 1 ใน 3 คงจำคุกจำเลยที่ 4 - 7 คนละ 2 ปี 8 เดือน

 

ส่วนนายนพรุจ จำเลยที่ 1 คงจำคุก 2 ปี 8 เดือน โดยไม่รอลงอาญา ยกฟ้องจำเลยที่ 2 - 3โดยวันนี้ นายนพรุจ จำเลยที่ 1 , นายวีระกานต์ , นายณัฐวุฒิ, นายวิภูแถลง, นพ.เหวง แกนนำ นปช.จำเลยที่ 4 - 7 ทั้งหมด เดินทางมาถึงศาลครบทุกคน

 

ขณะที่ ศาลฎีกาพิพากษาว่า การกระทำของจำเลยที่ 1 , 4 - 7 มีพฤติการณ์ก่อให้เกิดความวุ่นวายในบ้านเมืองเป็นเรื่องร้ายแรง ที่จำเลยทั้งหมดฎีกาขอให้ลงโทษสถานเบาและรอการลงโทษนั้น ศาลฎีกาเห็นว่าฎีกาของจำเลยทุกข้อฟังไม่ขึ้น ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาลงโทษพวกจำเลยมานั้นชอบแล้ว

 

ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยพิพากษายืนจำคุกจำเลยที่ 1 , 4 - 7 คนละ 2 ปี 8 เดือนไม่รอลงอาญา โดยขั้นตอนต่อไปจะนำจำเลยทั้งหมดส่งเข้าเรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานครต่อไป

+ย้อนรอยคดีบุก “บ้านป๋า”

 

คดีนี้ ย้อนกลับไปเมื่อวันที่ 22 ก.ค. 2550 แกนนำกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยขับไล่เผด็จการ (นปก.) ที่ภายหลังมาเปลี่ยนเป็นกลุ่ม นปช. ได้เคลื่อนขบวนผู้ชุมนุมจากท้องสนามหลวง บุกไปที่หน้าบ้านสี่เสาเทเวศร์ของ พล.อ.เปรม และปักหลักปราศรัยโจมตีด่าทอ พล.อ.เปรม ด้วยถ้อยคำที่รุนแรงและหยาบคาย กล่าวหาว่า พล.อ.เปรม อยู่เบื้องหลังการรัฐประหารยึดอำนาจรัฐบาล ทักษิณ ชินวัตร เมื่อวันที่ 19 ก.ย. 2549 พร้อมกดดันให้ พล.อ.เปรม ลาออกจากประธานองคมนตรีฯ ตั้งแต่ช่วงบ่ายถึงดึกวันดังกล่าว ซึ่งระหว่างการเคลื่อนขบวนของกลุ่ม นปก. ไปบ้านสี่เสาฯ ได้มีการฝ่าจุดสกัดของเจ้าหน้าที่หลายจุด พร้อมทำลายแผงเหล็กกั้นและโยนทิ้งลงคลอง ทั้งยังมีการยึดรถขยะของกรุเทพมหานคร(กทม.) ที่บริเวณดังกล่าว พร้อมทำร้ายร่างกายคนขับรถขยะ ลุยยึดรถเมล์และเจาะลมยางเพื่อปิดถนนบริเวณแยกสี่เสาฯ ด้วย

 

พอบุกได้ถึงหน้าบ้านสี่เสาฯ ก็เปิดเวทีปราศรัยด่าทอ พล.อ.เปรม ตั้งแต่ช่วงบ่ายถึงค่ำ แกนนำได้ประกาศว่าจะปักหลักโจมตี พล.อ.เปรม จนกว่าจะลาออก ส่งผลให้เจ้าหน้าที่ต้องตัดสินใจสลายการชุมนุม เพราะเกรงว่าหากการชุมนุมยืดเยื้อถึงวันรุ่งขึ้น จะกระทบต่อการจราจรและคนทำงาน เจ้าหน้าที่จึงได้พยายามยุติการชุมนุม ด้วยการปีนรถปราศรัยเพื่อควบคุมตัวแกนนำ นปก. แต่กลับถูกแกนนำ นปก. บนรถถีบลงมา ขณะที่ผู้ชุมนุมแนวร่วม นปก. ก็ฮือเข้าทำร้ายเจ้าหน้าที่ ที่มีเพียงโล่ป้องกันตัว ก่อให้เกิดความชุลมุน จนเจ้าหน้าที่ต้องถอยร่นกลับที่ตั้ง

 

ขณะที่ผู้ชุมนุมพยายามหาอาวุธทุกอย่างเท้าที่หาได้ เพื่อทำร้ายเจ้าหน้าที่และทำลายทรัพย์สินราชการบริเวณนั้น ซึ่งอาวุธก็มีทั้งไม้หน้าสาม เก้าอี้ ด้ามธงชาติ ด้ามร่ม กระถางต้นไม้ อิฐตัวหนอนปูพื้น

สุดท้ายเจ้าหน้าที่ต้องใช้ความพยายามถึง 4 ครั้ง กว่าจะทำให้การชุมนุมยุติได้ โดยแกนนำ นปก.และแนวร่วมต่างถอยร่นกลับไปปราศรัยต่อที่สนามหลวงในเวลาเกือบเที่ยงคืนแต่ก่อนกลับ แนวร่วม นปก.บางคน ได้ขับรถกระบะพุ่งเข้าชนตำรวจ ทำให้ได้รับบาดเจ็บขาหัก 2 นาย สุดท้ายคนขับรถกระบะดังกล่าวก็ถูกควบคุมตัว คือ นายนพรุจ วรชิตวุฒิกุล ซึ่งเป็นแกนนำกลุ่มพิราบขาว 2006 และเป็น 1 ในแกนนำ นปก. ถูกควบคุมตัวพร้อมกับแนวร่วมที่ก่อความวุ่นวายอีก 5 คน

 

เหตุจลาจลที่เกิดขึ้นจากม็อบ นปก.ครั้งนี้ ส่งผลให้เจ้าหน้าที่บาดเจ็บไม่ต่ำกว่า 200 นาย ขณะที่ฝ่ายผู้ชุมนุมบาดเจ็บราว 30 คน หลังเกิดเหตุ 1 วัน แกนนำ นปก.รีบออกมาแถลงข่าวปฏิเสธว่า ฝ่ายพวกเขาไม่ได้ก่อความรุนแรง แต่เป็นฝีมือของเจ้าหน้าที่ที่ยั่วยุก่อน และใช้กำลังสลายการชุมนุม รวมทั้งมีมือที่สามร่วมก่อกวน

 

ต่อมา พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน ผู้บัญชาการทหารบก(ผบ.ทบ.) ในขณะนั้น และเป็นประธานคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ (คมช.) ได้เข้าขอโทษ พล.อ.เปรม ที่ให้การดูแล พล.อ.เปรม ไม่ดี โดยมีรายงานว่าในคืนเกิดเหตุ พล.อ.เปรม ก็พักอยู่ในบ้านสี่เสาฯ และต้องทนฟังม็อบ นปก.ด่าทอด้วยถ้อยคำหยาบคาย เป็นเวลากว่า 6 ชั่วโมง แต่มีรายงานว่า พล.อ.เปรม ได้แจ้งกับ พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ นายกฯ ที่นำ ครม.เข้าให้กำลังใจ ในวันที่ 24 ก.ค. 2550 ว่า ไม่ได้โกรธ ไม่ได้เครียด แต่ไม่คิดว่าผู้ชุมนุมจะใช้คำพูดที่หยาบคาย ยั่วยุ และกล่าวหาซ้ำซากและเป็นเท็จ

 

ต่อมา พล.อ.เปรม ได้ให้สัมภาษณ์ในวันที่ 25 ก.ค. 2550 ว่า ไม่หวั่นไหวและไม่ท้อถอย ทำงานให้ชาติบ้านเมืองมาเยอะแล้ว และจะทำตลอดไปจนตาย

 

+คดีบุกบ้านสี่เสา

 

สำหรับการดำเนินคดีบุกบ้านสี่เสาฯ พล.ต.ต.เจตน์ มงคลหัตถี รองผู้บัญชาการตำรวจนครบาลในขณะนั้น ในฐานะหัวหน้าพนักงานสอบสวน ได้ขอศาลอาญาเพื่อออกหมายจับแกนนำ นปก.9 คน ประกอบด้วย นายวีระ (วีระกานต์) มุสิกพงศ์, นายจตุพร พรหมพันธุ์, นายจักรภพ เพ็ญแข, นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ ,นพ.เหวง โตจิราการ ,นายวิภูแถลง พัฒนภูมิไทย, นายมานิตย์ จิตต์จันทร์กลับ, นายอภิวันท์ วิริยะชัย และนายจรัล ดิษฐาอภิชัย

 

ในความผิดฐานมั่วสุมตั้งแต่ 10 คนขึ้นไป ใช้กำลังประทุษร้ายหรือกระทำการให้เกิดความวุ่นวายขึ้นในบ้านเมือง และร่วมกันต่อสู้ขัดขวางเจ้าพนักงานในการปฏิบัติหน้าที่ ทั้งหมดได้เข้ารับทราบข้อกล่าวหา ก่อนที่พนักงานสอบสวนจะขอศาลฝากขัง ซึ่งทั้งหมดได้ถูกควบคุมตัวในเรือนจำ ก่อนทยอยขอประกันตัวในเวลาต่อมา

 

กระทั่งวันที่ 30 ส.ค. 2550 พนักงานสอบสวนได้มีความเห็นสั่งฟ้อง 15 นปก. ที่ก่อเหตุจลาจล พร้อมส่งสำนวนและพยานหลักฐานให้อัยการ โดยยื่นพยานเอกสารจำนวน 15 แฟ้ม กว่า 4,500 หน้า โดยมีพยานบุคคลกว่า 300 ปาก แผ่นวีซีดีบันทึกภาพเหตุการณ์ 67 แผ่น และบันทึกการถอดเทปคำปราศรัยของแกนนำ นปก.บนเวทีอีกกว่า 400 แผ่น

 

ในเวลาต่อมา ตำรวจมีความเห็นสั่งฟ้อง 15 นปก. โดยแยกออกเป็น 2 ชุด ชุดแรก 10 คน ประกอบด้วย นายนพรุจ วรชิตวุฒิกุล, นายวีระ มุสิกพงศ์, นายจตุพร พรหมพันธุ์, นายจักรภพ เพ็ญแข, นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ, นายวิภูแถลง พัฒนภูมิไทย, นพ.เหวง โตจิราการ, พ.อ.อภิวันท์ วิริยะชัย, นายจรัล ดิษฐาอภิชัย และนายมานิตย์ จิตต์จันทร์กลับ ในข้อหามั่วสุมกันตั้งแต่ 10 คนขึ้นไป ใช้กำลังประทุษร้าย หรือกระทำการให้เกิดการวุ่นวายขึ้นในบ้านเมืองฯ โดยมีโทษสูงสุดจำคุกไม่เกิน 5 ปี

 

ส่วนแนวร่วม นปก.ชุดที่ 2 ที่พนักงานสอบสวนสั่งฟ้อง ประกอบด้วย นายบรรธง สมคำ, ม.ล.วีระยุทธ เสนีวงศ์ ณ อยุธยา หรือนายพิชิต เพียโคตร, นายศราวุธ หลงเส็ง, นายวีระศักดิ์ เหมธุริน และนายวันชัย นาพุทธา มีความผิดทำนองเดียวกัน ซึ่งมีอัตราโทษสูงสุดจำคุกไม่เกิน 5 ปี

 

เวลาล่วงเลยมาราว 2 ปี ในปี 2552 นายกายสิทธิ์ พิศวงปราการ อธิบดีอัยการฝ่ายคดีอาญา ระบุถึงความคืบหน้าของคดีนี้ว่า อัยการมีความเห็นสั่งไม่ฟ้องผู้ต้องหาเกือบทั้งหมด (13 ราย จาก 15 ราย) โดยชี้ว่า การชุมนุมของกลุ่ม นปช.ดังกล่าวเป็นไปอย่างเปิดเผย ไม่มีอาวุธ ซึ่งเป็นสิทธิตามที่รัฐธรรมนูญบัญญัติไว้ มีผู้ต้องหาเพียง 2 รายที่อัยการเห็นควรสั่งฟ้อง ฐานทำร้ายร่างกายบุคคลอื่นในการชุมนุม

 

ต่อมา นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ ออกมาให้ข่าวในภายหลังว่าอัยการสั่งไม่ฟ้องคดีนี้ไปกว่า 2 เดือนแล้ว และในเวลาต่อมาอัยการออกมายอมรับว่าได้มีความเห็นสั่งไม่ฟ้องจริง

ข่าวเกี่ยวข้อง

หลังมีความเห็นสั่งไม่ฟ้องแล้ว ได้ส่งความเห็นพร้อมสำนวนกลับไปให้ พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) พิจารณา ว่าจะมีความเห็นแย้งกับทางอัยการหรือไม่ หาก ผบ.ตร.เห็นแย้งก็ต้องให้ นายชัยเกษม นิติสิริ อัยการสูงสุด ในขณะนั้น เป็นผู้ชี้ขาดว่าจะสั่งฟ้องผู้ต้องหาหรือไม่

 

ต่อมา พล.ต.อ.พัชรวาท มีความเห็นแย้ง โดยเห็นควรสั่งฟ้องแกนนำในทุกข้อหา อัยการจึงเสนอให้ นายชัยเกษม นิติสิริ อัยการสูงสุด เป็นผู้ชี้ขาดอีกครั้ง ซึ่งอัยการสูงสุด มีความเห็นสั่งฟ้องผู้ต้องหาทั้งหมด ในข้อหามั่วสุมกันตั้งแต่ 10 คนขึ้นไป ใช้กำลังประทุษร้ายหรือก่อความวุ่นวายในบ้านเมือง และข้อหาอื่นตามความเห็นแย้งของ ผบ.ตร

 

ถัดมา วันที่ 16 ก.ย. 2558 ศาลอาญาได้พิพากษาจำคุกนายนพรุจ จำเลยที่ 1 เป็นเวลา 4 ปี ฐานทำร้ายร่างกายเจ้าพนักงานที่ปฏิบัติหน้าที่

 

ส่วนจำเลยที่ 4-7 คือ นายวีระกานต์-นายณัฐวุฒิ-นายวิภูแถลง-นพ.เหวง มีความผิด 3 ฐาน คือฐานมั่วสุมตั้งแต่ 10 คนขึ้นไป ใช้กำลังประทุษร้าย ขู่เข็ญ โดยกระทำความผิดเป็นหัวหน้า ให้จำคุกคนละ 3 ปี , ฐานขัดคำสั่งเจ้าพนักงาน สั่งให้เลิกมั่วสุมแล้วไม่เลิก จำคุกคนละ 2 ปี และฐานเป็นผู้ใช้ให้ผู้อื่นขัดขวางการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าพนักงาน จำคุกคนละ 1 ปี 6 เดือน รวมเป็น 6 ปี 6 เดือน โดยไม่รอลงอาญา แต่คำให้การเป็นประโยชน์ต่อการพิจารณาอยู่บ้าง ลดโทษให้ 1 ใน 3 คงจำคุกจำเลยที่ 1 เป็นเวลา 2 ปี 8 เดือน จำคุกจำเลยที่ 4-7 เป็นเวลา 4 ปี 4 เดือน ส่วนจำเลยที่ 2-3 ยกฟ้อง

 

ต่อมาวันที่ 10 ม.ค.2560 ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า พวกจำเลยมีความผิดฐานเป็น ผู้สนับสนุน ต่อสู้ขัดขวางเจ้าพนักงานฯ ตามมาตรา 138 วรรคสอง ให้จำคุกคนละ 1 ปี และมีความผิดฐานมั่วสุมตั้งแต่ 10 คนขึ้นไป ก่อให้เกิดความวุ่นวายโดยเป็นหัวหน้าสั่งการ ซึ่งเจ้าพนักงานสั่งให้เลิกแล้วไม่เลิก ตามมาตรา 215 วรรคหนึ่งและวรรคสาม, มาตรา 216 ประกอบมาตรา 83 ซึ่งเป็นการกระทำกรรมเดียว แต่ผิดกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษตามมาตรา 215 วรรคสาม เพียงกรรมเดียว จำคุกคนละ 3 ปี รวมจำคุกจำเลยที่ 4-7 คนละ 4 ปี คำให้การเป็นประโยชน์ต่อการพิจารณาคดีอยู่บ้าง ลดโทษให้ 1 ใน 3 คงจำคุกจำเลยที่ 4 - 7 คนละ 2 ปี 8 เดือน

 

ส่วนนายนพรุจ จำเลยที่ 1 คงจำคุก 2 ปี 8 เดือน โดยไม่รอลงอาญา ยกฟ้องจำเลยที่ 2 - 3โดยวันนี้ นายนพรุจ จำเลยที่ 1 , นายวีระกานต์ , นายณัฐวุฒิ, นายวิภูแถลง, นพ.เหวง แกนนำ นปช.จำเลยที่ 4 - 7 ทั้งหมด เดินทางมาถึงศาลครบทุกคน

 

และจุดจบของคดี “บุกบ้านป๋า “ก็มาถึงในวันที่ 26 มิ.ย.2563 เมื่อศาลฎีกามีคำพิพากษาสั่งจำคุกพวกเลย โดยไม่รอลงอาญา จนทำให้ต้องไปใช้ชีวิตอยู่ในคุกตามระยะเวลาที่ศาลฎีกามีคำพิพากษาดังกล่าว