โฆษกกลาโหมแจงงบประมาณกระทรวงกลาโหม 5 ปี 1 ล้านล้านบาท สอดคล้องกับงบประมาณและรายได้ประเทศที่เติบโตขึ้น ยัน! กระบวนการพิจารณาโปร่งใส ชี้! กลาโหมได้รับจัดสรรเป็นอันดับที่ 4 รองจากกระทรวงศึกษาธิการ, มหาดไทย และกระทรวงคลัง เป็นไปตามภารกิจและขนาดกระทรวง
วันนี้ (20 ก.พ. 62) พล.ท.คงชีพ ตันตระวาณิชย์ โฆษกกระทรวงกลาโหม แถลงชี้แจงงบประมาณกระทรวงกลาโหม โดยระบุว่า ปฏิบัติภารกิจป้องกันประเทศทั้งในและนอก รักษาสถาบันพระมหากษัตริย์ และพัฒนาประเทศ และช่วยเหลือประชาชาชน รวมถึงการปฏิบัติภารกิจสนับสนุนการทำงานของรัฐบาล เช่น แก้ปัญหายาเสพติด ตัดไม้ทำลายป่า ตรวจจับสิ่งของผิดกฎหมาย
ขนาดของกองทัพเติบโตจากภัยคุกคามของประเทศ ในอดีต ประเทศไทยต้องเผชิญกับภัยคุกคามจากคอมมิวนิสต์ จึงเพิ่มอัตรากำลังและกำลังพลมากขึ้น จึงมีการเกณฑ์ทหารเพิ่มและผลิตบุคลากรทางด้านทหาร ทั้งโรงเรียนนายร้อย โดยรัฐบาลเป็นผู้กำหนด กองทัพจึงใหญ่ขึ้นและมีการจัดสรรงบประมาณให้สอดคล้อง และกองทัพไม่มีอะไรแตกต่างจากกระทรวงอื่น ๆ
งบประมาณของกระทรวงกลาโหมดำเนินการเหมือนกับกระทรวงอื่น ๆ โดยการเสนองบประมาณเข้าสู่การพิจารณาของสภาและมีคณะกรรมาธิการกลั่นกรอง พิจารณา และถูกบรรจุ ว่าด้วยงบประมาณรายจ่ายประจำปีเป็นไปตามกระบวนการตามปกติ
"งบประมาณด้านความมั่นคงจำแนกเป็นแต่ละกลุ่ม โดยงบประมาณกระทรวงกลาโหม ที่มีการระบุว่า งบประมาณปีละกว่า 200,000 ล้านบาท รวม 5 ปี เป็นเงินกว่า 1 ล้านล้านบาท ซึ่งงบประมาณเหล่านี้เติบโตจากงบประมาณของประเทศทั้งหมด ซึ่งขณะนี้งบประมาณของประเทศอยู่ที่ประมาณ 3 ล้านล้านบาท เติบโตเพิ่มขึ้นจากอดีตที่ 1 ล้านล้านบาท" โฆษกกระทรวงกลาโหม กล่าว พร้อมระบุว่า
หากเปรียบเทียบงบประมาณของกระทรวงกลาโหมจากงบประมาณของประเทศตั้งแต่ปี 2536-2541 อยู่ที่ราวร้อยละ 12.7 หลังเกิดวิกฤติเศรษฐกิจปี 2540 ถูกตัดลดลงเหลือร้อยละ 7.6 และต่อมาที่งบประมาณของประเทศเติบโตอยู่ที่ราว 1 ล้านล้านบาท งบประมาณของกระทรวงกลาโหมก็อยู่ที่ร้อยละ 7-8 มาโดยตลอด และในปี 2562 งบประมาณประเทศอยู่ที่ 3 ล้านล้านบาทแล้ว
ทั้งนี้ จากพระราชบัญญัติรายจ่ายประจำปีงบประมาณและข้อมูลจากสำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร ตั้งแต่ปีงบประมาณ 2557-2562 โดยเฉพาะตั้งแต่ปีงบ 2558 ภายใต้การบริหารของรัฐบาล คสช. มีบางปีที่งบที่กระทรวงกลาโหมได้รับการจัดสรรเพิ่มขึ้น ตั้งแต่ปี 2557 ได้งบประมาณ 1.8 แสนล้านบาท ปี 2558 หลัง คสช. มาบริหารประเทศ ได้งบเพิ่มเป็น 1.9 แสนล้านบาท ปี 2559 ได้งบเพิ่มเป็น 2 แสนล้านบาท ปี 2560 ได้งบเพิ่มเป็น 2.12 แสนล้านบาท ปี 2561 ได้งบประมาณ 2.18 แสนล้านบาท และปี 2562 ได้ประมาณ 2.2 แสนล้านบาท
พล.ท.คงชีพ กล่าวว่า งบประมาณของทั้งประเทศเพิ่มขึ้นเหมือนกับทุกกระทรวง โดยอยู่ที่ประมาณร้อยละ 7 มาโดยตลอด ซึ่งเป็นสัดส่วนปกติ แต่ในปี 2540 ช่วงวิกฤตกองทัพขาดแคลนงบประมาณถึงขั้นไม่มีงบประมาณเติมน้ำมันอาวุธยุทโธปกรณ์ ซึ่งทำให้เครื่องบินเสียหายพอสมควร นักบินบางส่วนสมองไหลไปอยู่การบินไทย
หากเทียบกับการเติบโตของจีดีพี ซึ่งตามแผนพัฒนาขีดความสามารถของกระทรวงกลาโหม การจัดสรรงบประมาณอยู่ที่ร้อยละ 2 ของจีดีพี แต่ที่ผ่านมา ได้รับการจัดสรรอยู่ที่เฉลี่ย 1.48 ซึ่งก็เพียงพอต่อการพัฒนาขีดความสามารถ แต่ก็ดำเนินการได้จำกัด พร้อมเปรียบเทียบกับอีก 20 ประเทศที่ได้รับงบประมาณสูงสุด เช่น สิงคโปร์ อยู่ที่ร้อยละ 20-30 ของจีดีพี
ขณะที่ การจัดหายุทโธปกรณ์ แผนพัฒนาและเสริมขีดความสามารถกองทัพ จัดสรรตามสถานการณ์ มีการประเมินในทุก 5-10 ปี ว่า จะรับมือภัยคุกคามและการรบ ต้องไม่แพ้และไม่เสียอำนาจอธิปไตย ซึ่งการจัดหายุทโธปกรณ์จัดหาบนความเป็นไปได้บนเกณฑ์ความเสี่ยงที่ยอมรับได้ เน้นการดำรงสภาพให้อยู่ได้ ทำหน้าที่ป้องกันประเทศได้และรักษาความพร้อมในการรบด้วยในการปฏิบัติภารกิจทันที เช่น เครื่องบินต้องพร้อมตลอดเวลา และต้องจัดหาให้ครบอัตรา ซึ่งทุกวันนี้ยังขาดอีกเยอะมาก และต้องทยอยจัดซื้อ เพื่อให้ครบตามจำนวน มาแทนที่ยุทโธปกรณ์ที่ปลดประจำการไปแล้ว
หากเทียบกับงบประมาณกระทรวงอื่น ๆ งบประมาณของกระทรวงกลาโหมอยู่ที่อันดับที่ 4 โดย อันดับ 1.กระทรวงศึกษาธิการ อันดับ 2.กระทรวงมหาดไทย อันดับ 3.กระทรวงการคลัง โดยงบประมาณจัดสรรความขนาดและภารกิจของแต่ละกระทรวง
โฆษกกระทรวงกลาโหม ระบุ หากตัดงบประมาณไม่กระทบเพียงความมั่นคง แต่กระทบการช่วยเหลืออื่น เช่น ภัยที่ไม่ใช่ภัยสงคราม หรือ งานช่วยเหลือภารกิจอื่น ๆ ซึ่งกองทัพพร้อมรับข้อคิดเห็นและพร้อมรับข้อเสนอในการปฏิรูปกองทัพ ปรับโครงสร้างกองทัพอย่างไร ทั้งของ คุณจาตุรนต์ ฉายแสง ประธานคณะกรรมการยุทธศาตร์การเลือกตั้ง พรรคไทยรักษาชาติ, พล.ต.อ.เสรีพิศุทธิ์ เตมียเวส หรือท่านอื่น ๆ ก็พร้อมที่จะนำไปหารือพูดคุย
ดังนั้น การที่กำลังพลของกองทัพจะมีมากขึ้นหรือไม่นั้น สังคมเป็นผู้กำหนดจากภัยคุกคาม เช่น ในอดีตภัยคอมมิวนิสต์ และขณะนี้ การมีกำลังสำรองและการเกณฑ์ทหารก็เพื่อไม่ให้เป็นภาระงบประมาณในการให้ทหารมาประจำการถาวร และหากไม่มีการเกณฑ์ต้องมีแรงจูงใจ เงินเดือนต้องสูงขึ้น สวัสดิการต้องดี และมีหลักประกันให้ด้วย
พล.ท.คงชีพ กล่าวเพิ่มเติมว่า งบประมาณทหารทุกยุคทุกสมัยผ่านการพิจารณาของสภาทั้งสิ้น และ พ.ร.บ.วิธีการงบประมาณที่ออกมาใหม่และโครงการงบประมาณตั้งแต่ 1,000 ล้านบาทขึ้นไป ต้องเสนอให้ ครม. เห็นชอบก่อน และพิจารณาว่า สอดรับกับยุทธศาสตร์ชาติหรือไม่
งบประมาณที่เพิ่มขึ้นส่วนใหญ่เป็นงบประจำเงินเดือน สิทธิตามกฎหมาย และสวัสดิการกว่าร้อยละ 49 ภารกิจพื้นฐานการฝึกและจัดหารยุทโธปกรณ์และการสร้างอาคารสถานที่อยู่ที่ประมาณร้อยละ 20 การจะซื้อเรือดำน้ำจะต้องตั้งงบประมาณผูกพันภายในกระทรวงกลาโหมไปอีกหลายปี เพื่อที่จะให้ได้เรือดำน้ำมา ซึ่งจะไม่ไปกระทบกับงบประมาณกระทรวงอื่น"
ทั้งนี้ ในช่วงสัปดาห์หน้า พล.ท.คงชีพ จะชี้แจงถึงการเกณ์ทหาร การจัดหายุทโปกรณ์ และการปฏิรูปกองทัพเพิ่มเติม