สัปดาห์หน้า ศูนย์วิจัยกสิกรไทยจับตา 5ปัจจัย “ ประชุมสัมมนาประจำปีของเฟดที่ Jackson Hole- ตัวเลขการส่งออกเดือนก.ค. ของไทย -สถานการณ์โควิดทั้งในและต่างประเทศ -การเมืองภายในประเทศ -ข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐ” กสิกรไทยมองกรอบการเคลื่อนไหวของเงินบาทที่ 33.00-33.50 บาทต่อดอลลาร์ฯ ด้านบล.กสิกรไทยมองดัชนีหุ้นไทยมแนวรับที่ 1,535 และ 1,525 จุด ขณะที่แนวต้านอยู่ที่ 1,565 และ 1,580 จุด ตามลำดับ
ธนาคารกสิกรไทยมองกรอบการเคลื่อนไหวของเงินบาทสัปดาห์หน้าระหว่างวันที่ 23-27สิงหาคมอยู่ที่ 33.00-33.50 บาทต่อดอลลาร์ฯ ขณะที่ศูนย์วิจัยกสิกรไทยประเมินปัจจัยสำคัญที่ต้องติดตาม ได้แก่ การประชุมสัมมนาประจำปีของเฟดที่ Jackson Hole ตัวเลขการส่งออกเดือนก.ค. ของไทย และสถานการณ์โควิด ขณะที่ตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่สำคัญ ประกอบด้วย ยอดขายบ้านมือสอง ยอดขายบ้านใหม่ ยอดสั่งซื้อสินค้าคงทน รายได้/รายจ่ายส่วนบุคคล และอัตราเงินเฟ้อที่วัดจาก PCE/Core PCE Price Index เดือนก.ค. ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค ข้อมูลจีดีพีไตรมาส 2/64 (ครั้งที่ 2) และจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์ นอกจากนี้ตลาดยังรอติดตามดัชนี PMI เดือนส.ค. (เบื้องต้น) ของยูโรโซน อังกฤษ และสหรัฐฯ ด้วยเช่นกัน โดยเมื่อวันศุกร์ (20 ส.ค.) เงินบาทอยู่ที่ระดับ 33.36 บาทต่อดอลลาร์ฯ เทียบกับระดับ 33.34 บาทต่อดอลลาร์ฯ ในวันศุกร์ก่อนหน้า (13 ส.ค.)
ด้านดัชนี SET เมื่อวันที่ 20สิงหาคมที่ผ่านมา ปิดที่ระดับ 1,553.18 จุด เพิ่มขึ้น 1.63% จากสัปดาห์ก่อน ขณะที่มูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยต่อวันอยู่ที่ 80,548.25 ล้านบาท ลดลง 3.33% จากสัปดาห์ก่อน ส่วนดัชนี mai เพิ่มขึ้น 3.10% มาปิดที่ 503.46 จุด
สำหรับสัปดาห์ถัดไป (23-27 ส.ค.) บริษัทหลักทรัพย์กสิกรไทย จำกัด(บล.) มองว่า ดัชนีหุ้นไทยมีแนวรับที่ 1,535 และ 1,525 จุด ขณะที่แนวต้านอยู่ที่ 1,565 และ 1,580 จุด ตามลำดับ
ศูนย์วิจัยกสิกรไทยประเมินปัจจัยสำคัญที่ต้องติดตาม ได้แก่ สถานการณ์โควิดทั้งในและต่างประเทศ รวมถึงประเด็นการเมืองภายในประเทศ ตลอดจนการประชุมประจำปีของเฟดที่ Jackson Hole ส่วนข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่สำคัญ ได้แก่ ดัชนี PMI ภาคการผลิต/ภาคบริการเดือนส.ค. (เบื้องต้น) ยอดขายบ้านใหม่และบ้านมือสอง ยอดสั่งซื้อสินค้าคงทน รายได้/รายจ่ายส่วนบุคคล ดัชนีราคา PCE/Core PCE Price Index เดือนก.ค. ตลอดจนจีดีพีไตรมาส 2/64 ขณะที่ปัจจัยต่างประเทศอื่นๆ ได้แก่ ดัชนี PMI เดือนส.ค. (เบื้องต้น) ของญี่ปุ่นและยูโรโซน