สภาฯเดือด สส.แท็กทีมค้านงบจัดซื้ออาวุธควบคุมฝูงชน

21 ส.ค. 2564 | 13:14 น.

ประชุมสภาสุดเดือด หลายพรรคการเมือง เสนอตัดงบประมาณจัดซื้ออาวุธสงคราม ชี้ 4 ปี รัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ มีการซื้ออาวุธสงครามเพิ่มขึ้นถึง 632 เท่า ขณะที่ตำรวจไทยสะสมอาวุธสงครามมากกว่าสหรัฐฯ ถึง 25 เท่าในช่วง5 ปี

นายพิจารณ์ เชาวพัฒนวงศ์ ส.ส.ก้าวไกล หนึ่งในผู้เสนอตัดงบประมาณจัดซื้อออาวุธสงคราม กล่าวในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร 21 ส.ค. 2564 ที่มีนายชวน หลีกภัย ประธานสภาฯ เป็นประธานในที่ประชุม เพื่อพิจารณาร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 ว่า ควรปรับลดงบประมาณ ตามมาตรา 27 โครงการจัดซื้ออาวุธสงคราม สำนักงานตำรวจแห่งชาติ 3 โครงการ คือ ปืนเล็กสั้น 1,000 กระบอก, ปืนเล็กยาว 2,000 กระบอก และปืนกลมือ 4,000 กระบอก รวมเป็น 7,000 กระบอก

 

เนื่องจากที่ผ่านมาช่วงปี 2561-2563 ภายใต้แกนนำรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา มีการซื้ออาวุธสงครามให้กับตำรวจแล้ว 73,000 กระบอก ถ้ารวมอีก 7,000 กระบอกล่าสุดที่จะพิจารณาปีนี้ ก็รวมแล้ว 80,000 กระบอก คิดเป็น 116 กระบอกต่อ 100,000 ประชาชน ขณะที่ระหว่างปี 2553-2556 ประเทศไทยมีการซื้ออาวุธสงครามให้ตำรวจ 100 กระบอกเท่านั้น แต่หลังปี 2561 ที่รัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ เข้าบริหารประเทศ มีการซื้ออาวุธสงครามเพิ่มขึ้นถึง 632 เท่า

 

และเมื่อเทียบกับสหรัฐอเมริกา 5 ปีที่ผ่านมาตำรวจไทยสะสมอาวุธสงครามต่อจำนวนประชากรมากกว่าสหรัฐฯ ถึง 5 เท่า ในระยะเวลาที่เร็วกว่า 5 เท่า รวมซื้ออาวุธมากกว่า 25 เท่า ซึ่งสหรัฐฯขึ้นชื่อตำรวจสะสมอาวุธสงครามมากเกินไป จนใช้กำลังเกินเหตุกับประชาชน

 

ซึ่ง 25 ปีที่ผ่านมา สหรัฐฯ ซื้อปืนให้ตำรวจ 78,000 กระบอก คิดเป็น 24 กระบอกต่อ 100,000 ประชาชนและการสะสมอาวุธสงครามที่เพิ่มขึ้นนี้ นอกจากไม่ช่วยลดอัตราการเกิดอาชญากรรม ยังพบแนวโน้มของการใช้ความรุนแรงอาวุธสงครามเหล่านั้นกับประชาชนอีกด้วย

“ทั้ง 3 โครงการของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ที่มีการลงนามไปแล้วนั้นเป็นเพราะถูกตรวจสอบหรือไม่ จึงต้องรีบลงนามสั่งซื้อ การปล่อยให้ตำรวจครอบครองอาวุธสงครามอาจมีแนวโน้มใช้อาวุธกับประชาชน งบประมาณจัดซื้อปืนอีก 7,000 กระบอก ไม่ควรจะผ่านการพิจารณาของสภาไปในวันนี้ วันใดที่ปืนกระบอกใดกระบอกหนึ่งใน 7,000 กระบอกนี้หันเข้าหาประชาชน ในวันนั้นเลือดจะอยู่ในมือของสมาชิกสภาฯ แห่งนี้ทุกคนที่เห็นชอบให้งบประมาณนี้ผ่านไป” 

 

ขณะที่สภาฯ ผ่านงบหน่วยงานที่อยู่ภายใต้การกำกับการดูแลของนายกรัฐมนตรี ( 1 ในนั้นคือสตช. กมธ.เสียงข้างมากปรับลด 55 ล้านบาท) ทั้งนี้ในมาตรา 27 ที่ประชุมเห็นด้วย ให้ปรับลดงบฯ โดยรวม 69 ล้านบาท ตามกมธ.เสียงข้างมาก