“สุริยะ”ยันขนย้ายสารสไตรีนโรงานหมิงตี้แล้วเสร็จ 17 ก.ค.

16 ก.ค. 2564 | 04:14 น.

สุริยะเผยการขนย้ายสารเคมีสไตรีนโมโนเมอร์ดำเนินการไปแล้วกว่า 650 ตัน คาดสามารถดำเนินการให้แล้วเสร็จภายในวันที่ 17 กรกฎาคม 2564 พร้อมสั่งการให้ กรอ. เร่งตรวจสอบโรงงานที่ใช้สารเคมีในกระบวนการผลิต

นายสุริยะ  จึงรุ่งเรืองกิจ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เปิดเผยความคืบหน้าการขนย้ายสารสไตรีนโมโนเมอร์ ที่ตกค้างในพื้นที่ที่เกิดเหตุเพลิงไหม้ โรงงานบริษัท หมิงตี้ เคมีคอล จำกัด จังหวัดสมุทรปราการ โดยระบุว่า ล่าสุดได้ทำการขนย้ายสารเคมีสไตรีนโมโนเมอร์ไปแล้ว 650 ตัน (ข้อมูล ณ วันที่ 15  ก.ค.64)  โดยคาดว่าจะสามารถดำเนินการให้แล้วเสร็จภายในวันที่ 17 กรกฎาคมนี้  
“ตนได้สั่งการกรมโรงงานอุตสาหกรรม (กรอ.) เร่งตรวจสอบโรงงานที่มีการใช้สารเคมีในกระบวนการผลิต โรงงานประกอบกิจการเกี่ยวกับการผลิตยางเรซินสังเคราะห์ ยางอีลาสโตเมอร์ พลาสติก โดยเน้นโรงงานในพื้นที่ชุมชนและเป็นโรงงานที่ได้รับอนุญาตประกอบกิจการโรงงานเป็นระยะเวลานานเป็นอันดับแรก”
นายประกอบ วิวิธจินดา อธิบดี กรอ. กล่าวว่า กรอ.ส่งเจ้าหน้าที่ลงพื้นที่ตรวจสอบโรงงานฯ ตามนโยบายของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม โดยมุ่งเน้นไปที่โรงงานที่มีการใช้สารเคมีในกระบวนการผลิต โรงงานประกอบกิจการเกี่ยวกับการผลิตยางเรซินสังเคราะห์ ยางอีลาสโตเมอร์ พลาสติก จำนวน 92 โรงงาน และโรงงานประกอบกิจการทำเคมีภัณฑ์ สารเคมี หรือวัสดุเคมี ซึ่งมิใช่ปุ๋ย จำนวน 460 โรงงาน เน้นโรงงานในพื้นที่ชุมชนและเป็นโรงงานที่ได้รับอนุญาตประกอบกิจการโรงงานเป็นระยะเวลานานเป็นอันดับแรก 
โดยเมื่อวันที่ 15 กรกฎาคม 2564 ได้มอบหมายให้นายวีระกิตติ์ รันทกิจธนวัชร์ รองอธิบดีกรมโรงงานอุตสาหกรรม พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่กองบริการงานอนุญาตโรงงาน 1 กองส่งเสริมเทคโนโลยีความปลอดภัยโรงงาน และกองบริหารจัดการวัตถุอันตราย เข้าร่วมตรวจสอบโรงงาน บริษัท ไทยโทเรซินเทติคส์ จำกัด เขตบางเขน กรุงเทพฯ เป็นที่แรก โดยกรมโรงงานอุตสาหกรรมมีแผนที่จะตรวจสอบโรงงานในพื้นที่กรุง   ฯ และปริมณฑล ร่วมกับสำนักงานอุตสาหกรรมจังหวัด ประมาณ 50 โรงงาน ตลอดเดือนกรกฎาคมนี้

ส่วนกรณีสารสไตรีนที่คงค้างอยู่ภายใน บริษัท หมิงตี้เคมีคอล จำกัด ที่เกิดเหตุเพลิงไหม้บริษัท หมิงตี้ เคมีคอล จำกัด ข้อมูลเบื้องต้นเป็นการคาดการณ์ปริมาณสารที่ยังคงเหลืออยู่จากทีมปฏิบัติการฉุกเฉินและผู้เชี่ยวชาญจากบริษัทสารเคมีที่เข้าไปตรวจสอบว่ามีประมาณ 600 ตัน เนื่องจากบริเวณที่วางถังบรรจุสไตรีนยังมีความเสี่ยงและอันตรายต่อผู้ปฏิบัติงาน  โดยหลังจากทีมปฏิบัติงานได้เข้าควบคุมสถานการณ์ดังกล่าวเพื่อไม่ให้เกิดการทำปฏิกิริยาต่อเนื่องของสารเคมีจนปลอดภัยต่อการขนย้ายได้แล้ว จึงได้ตรวจวัดปริมาณสารอีกครั้ง พบว่ามีสารสไตรีนอยู่ประมาณ 1,000  ตัน  ซึ่งสารสไตรีนทั้งหมดจะดำเนินการขนส่งไปกำจัดให้แล้วเสร็จภายในวันที่ 17 กรกฎาคม 2564

ขนย้ายสารสไตรีนแล้วเสร็จ 17 ก.ค.
“เบื้องต้นสำนักงานอุตสาหกรรมจังหวัดสมุทรปราการ (สอจ.) มีคำสั่งมาตรา 39 แห่ง พ.ร.บ.โรงงาน พ.ศ. 2562 ให้บริษัทฯ หยุดประกอบกิจการโรงงานทั้งหมดและให้จัดการสิ่งปฏิกูลหรือวัสดุที่ไม่ใช้แล้วที่เกิดจากเพลิงไหม้ให้เป็นไปตามกฎหมายและให้จัดการสารเคมีที่ตกค้างในภาชนะบรรจุให้มีสภาพปลอดภัยและไม่เป็นอันตรายต่อผู้ที่อยู่อาศัยใกล้เคียง ซึ่งจากการประสานกับผู้แทนโรงงาน ได้รับคำยืนยันว่าความเสียหายที่เกิดขึ้นจากเพลิงไหม้ทั้งหมด ทางบริษัท หมิงตี้ เคมีคอลฯ จะเป็นผู้รับผิดชอบ ขณะเดียวกันในส่วนของการช่วยเหลือพี่น้องประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ดังกล่าว กระทรวงฯ กำลังดำเนินการรับเรื่องราวร้องทุกข์ผ่านศูนย์รับเรื่องร้องทุกข์ 3 แห่ง ทั้งที่ สำนักงานอุตสาหกรรมจังหวัดสมุทรปราการ สถานีตำรวจภูธรอำเภอบางแก้ว และบริษัท หมิงตี้ เคมีคอล จำกัด ซึ่งผู้ได้รับผลกระทบได้เข้ามายื่นคำขออย่างต่อเนื่อง”
อย่างไรก็ตาม บริษัท อัคคีปราการ จำกัด (มหาชน) ได้ออกหนังสือ นำเสนอข้อเท็จจริงการจัดการสารสไตรีนโมโนเมอร์จากเหตุเพลิงไหม้ บริษัท หมิงตี้ เคมิคอล จำกัด โดยระบุข้อความว่า
ตามที่ บริษัท อัคคีปราการ จำกัด (มหาชน) ได้รับมอบหมายให้ดำเนินการขนย้ายและกำจัดสารสไตรีนโมโนเมอร์ ด้วยวิธีการเผาทำลายซึ่งเป็นระบบเตาเผาอุณหภูมิสูง มีระบบกำจัดมลพิษที่มีประสิทธิภาพ โดยเตาเผา ”โครงการศูนย์บริหารจัดการวัสดุเหลือใช้อุตสาหกรรม บางปู จังหวัดสมุทรปราการ”แห่งนี้ ก่อสร้างแล้วเสร็จตั้งแต่ปี พ.ศ. 2547 ภายใต้การกำกับดูแลของกรมโรงงานอุตสาหกรรม กระทรวงอุตสาหกรรม และได้ผ่านความเห็นชอบในรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม (EIA) จากสำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเมื่อปี พ.ศ. 2544 ดังนั้นการศึกษาและจัดทำรายงาน EHIA ตาม“ประกาศกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เรื่อง กำหนดโครงการกิจการ หรือการดำเนินการที่อาจมีผลกระทบต่อทรัพยากรธรรมชาติ คุณภาพสิ่งแวดล้อม สุขภาพ อนามัย คุณภาพชีวิต ของประชาชนในชุมชนอย่างรุนแรง ซึ่งต้องจัดทำรายงานการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อมและหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการจัดทำรายงานการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อมปี พ.ศ. 2562” ที่ได้ประกาศภายหลังจากที่โครงการฯได้รับความเห็นชอบ ในปี พ.ศ. 2544 นั้น จึงไม่มีผลบังคับใช้กับโครงการฯ

และตั้งแต่ปี พ.ศ. 2551 เป็นต้นมา บริษัท อัคคีปราการ จำกัด (มหาชน) ได้รับสิทธิบริหารและประกอบการโครงการฯจากกรมโรงงานอุตสาหกรรม กระทรวงอุตสาหกรรม ภายใต้การปฎิบัติงานตามข้อกำหนดกฎหมายที่เกี่ยวข้อง ซึ่งสารเคมีสไตรีนโมโนเมอร์จากเหตุเพลิงไหม้บริษัท หมิงตี้ จำกัด ที่บริษัทฯรับมาดำเนินการ เป็นสารตั้งต้นที่มีส่วนประกอบของตัวทำละลาย Solvent ที่มีจุดติดไฟต่ำกว่า 70 องศาเซลเซียสนี้ จัดเป็นประเภทของเสียที่โครงการฯ สามารถรับกำจัดได้ตามที่กำหนดไว้ในรายงาน EIA ทั้งนี้ ในการขนย้ายเพื่อนำไปกำจัด บริษัทฯ ได้ร่วมหารือแนวทางการทำงานกับศูนย์บัญชาการเหตุการณ์จังหวัดสมุทรปราการในทุกขั้นตอน รวมถึงการแจ้งขออนุญาตและได้รับอนุญาตจากกรมโรงงานอุตสาหกรรมให้สามารถดำเนินการสูบถ่าย ขนย้ายสารเคมีดังกล่าวไปกำจัดได้อย่างถูกต้องตามประกาศกระทรวงอุตสาหกรรม เรื่อง การกำจัดสิ่งปฏิกูลหรือวัสดุที่ไม่ใช้แล้ว ปี พ.ศ. 2548
บริษัทฯ ขอเรียนยืนยันว่า นอกจากการจัดการสารสไตรีนโมโนเมอร์ที่เป็นไปตามกฎหมายเพื่อระงับเหตุและลดการแพร่กระจายสู่สิ่งแวดล้อมและชุมชนแล้ว บริษัทฯได้ทุ่มเทสรรพกำลังในทุกด้านเพื่อให้การดำเนินงานดังกล่าวลุล่วงภายใต้สถานการณ์ที่อาจเกิดความเสี่ยงขึ้นได้ตลอดเวลา โดยบริษัทฯมีเป้าหมายที่จะให้ความช่วยเหลือภาครัฐและประชาชนที่อยู่บริเวณโดยรอบให้ได้รับความปลอดภัยทั้งต่อชีวิตและทรัพย์สินเป็นสำคัญ