ยอดผลิตรถส.ค.68 ร่วง ส.อ.ท.ชงรัฐบาลอนุทินตั้งกองทุนค้ำประกันรถกระบะ

23 ก.ย. 2568 | 12:34 น.
อัปเดตล่าสุด :23 ก.ย. 2568 | 13:13 น.

อุตฯยานยนต์ไทย ตัวเลขยอดผลิตรถ 8 เดือนยังทรุด ส.อ.ท.ชงรัฐบาลอนุทิน ตั้งกองทุน 5,000 ล้านบาท ค้ำประกันรถกระบะ

สถานการณ์ภาพรวมอุตสาหกรรมยานยนต์ไทยในช่วงที่ผ่านมา ยังคงทรุด โดยกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์ สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) ได้เปิดเผยตัวเลขยอดผลิตรถยนต์ในเดือนสิงหาคม 2568 ทำได้ทั้งสิ้น 112,366 คัน ลดลงจากเดือนสิงหาคม 2567 ร้อยละ 6.11 ขณะที่ยอดผลิตรถยนต์ 8 เดือนที่ผ่านมา(มกราคม - สิงหาคม 2568) มีจำนวนทั้งสิ้น 947,697 คัน ลดลง ร้อยละ 5.77

สำหรับปัจจัยที่มีผลกับยอดผลิตรถยนต์รวมที่ลดลง มาจากการผลิตเพื่อส่งออกที่ลดลงเนื่องจากจากการเลิกผลิตรถยนต์นั่งบางรุ่นเพราะความเข้มงวดในการติดตั้งอุปกรณ์ช่วยขับในด้านความปลอดภัยของประเทศคู่ค้า รวมทั้งผลิตรถกระบะส่งออกลดลงเนื่องจากการเข้มงวดในการปล่อยคาร์บอนของประเทศคู่ค้า อย่างไรก็ดีเมื่อมาดูที่การผลิตเพื่อขายในประเทศ มีสัดส่วนเพิ่มขึ้นร้อยละ 4.11 เนื่องจากการผลิตรถยนต์ไฟฟ้าชดเชยรถยนต์ไฟฟ้าที่นำเข้ามาขายในปี 2565 - 2566

ส่วนยอดขายรถในประเทศ เดือนสิงหาคมที่ผ่านมา ทำได้ทั้งสิ้น 47,622 คัน เพิ่มขึ้นร้อยละ 5.38 โดยได้รับอานิสงค์มาจากการขายรถยนต์นั่งไฟฟ้าที่มีถึง 9,246 คัน เพิ่มขึ้นร้อยละ 26.62 จากปีที่แล้ว ส่วนรถกระบะขายได้ 10,960 คันลดลงร้อยละ 10.92 โดยยอดขายรถกระบะยังคงขายลดลงต่อเนื่องกว่าสองปีจากการเข้มงวดการอนุมัติสินเชื่อของสถาบันการเงินเพราะเศรษฐกิจขยายตัวในอัตราต่ำ หลักฐานการเงินของผู้ซื้ออ่อนแอ ด้านตัวเลขยอดขายรถในประเทศ 8 เดือนที่ผ่านมา (มกราคม - สิงหาคม 2568)รถยนต์มียอดขาย 399,619 คัน เพิ่มขึ้น 8 คัน

นายสุรพงษ์ ไพสิฐพัฒนพงษ์  ที่ปรึกษาประธานกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์และโฆษกกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์ สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผยว่า รัฐบาลใหม่ของนายกรัฐมนตรีอนุทิน ชาญวีรกุล ได้แสดงความตั้งใจที่จะกระตุ้นเศรษฐกิจของประเทศให้เติบโตมากขึ้น ดังนั้นกลุ่มยานยนต์จึงขอเสนอการกระตุ้นเศรษฐกิจที่รัฐบาลจะได้เก็บภาษีมากกว่าเงินที่จะจ่ายซึ่งอาจจะไม่ต้องจ่ายถ้าเศรษฐกิจดีวันดีคืน 

นายสุรพงษ์ ไพสิฐพัฒนพงษ์  

สำหรับข้อเสนอนี้เป็นของ กกร.ปีที่แล้วที่เสนอรัฐบาลตั้งกองทุนห้าพันล้านบาทเพื่อค้ำประกันผลขาดทุนจากการยึดรถกระบะแล้วขายขาดทุน โดยจ่ายผลขาดทุนตามจริงแต่ไม่เกินคันละห้าหมื่นบาทให้กับสถาบันการเงิน โดยมีข้อแลกเปลี่ยนหรือเงื่อนใขว่า สถาบันการเงินต้องปล่อยกู้ให้มียอดขายรถกระบะมากขึ้นจากปีที่ผ่านมาอย่างน้อย 30% 

ยกตัวอย่าง สมมติปีที่แล้วขายรถกระบะ 130,000 คัน ถ้าขายมากกว่าปีที่แล้วอย่างน้อย 30% ปีนี้ต้องปล่อยสินเชื่อให้ขายรถกระบะให้ได้ 170,000 คัน ที่เพิ่มขึ้น 40,000 คันนี้ รัฐบาลจะค้ำประกันผลขาดทุนจากการยึดรถคันละไม่เกินห้าหมื่นบาท จึงตั้งกองทุนค้ำประกันผลขาดทุนจากรถยึดรถกระบะเพียง 2,000 ล้านบาท (40,000คัน × 50,000 บาทค่อคัน) แต่รัฐบาลเก็บภาษีสรรพสามิตรถกระบะ 3% × 24,000 ล้านบาทเพิ่มขึ้น 720 ล้านบาท  (ถ้าเฉลี่ยรถกระบะคันละ 600,000 บาท x 40,000 คันที่เพิ่มขึ้น)เก็บภาษีมูลค่าเพิ่ม 7%ของยอด 24,000 ล้านบาท ได้เงิน 1,680 ล้านบาท รวมเก็บภาษีสองประเภทนี้"เพิ่มขึ้น" 2,400 ล้านบาท มากกว่าเงินกองทุน 2,000 ล้านบาท

อีกทั้งยังเก็บภาษีเงินได้นิติบุคคลที่ซัพพลายเชนขายได้มากขึ้น กำไรสุทธิมากขึ้น เช่น บริษัทผลิตยางล้อรถยนต์ขายยางล้อได้มากขึ้น160,000 เส้น กระจกขายได้มากขึ้น 40,000 แผ่น เครื่องปรับอากาศรถยนต์ขายมากขึ้น 40,000 เครื่อง บริษัทขายท่อไอเสียมากขึ้น 40,000 ชิ้นฯลฯ  และยังเก็บภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาเพิ่มขึ้นจากรายได้พนักงานสถาบันการเงิน บริษัทประกันภัยและพนักงานขายรถกระบะรวมทั้งคนงานทำงานในบริษัทซัพพลายเชนที่มีรายได้เพื่มขึ้น ทำให้กลุ่มบริษัทลงทุนเพิ่ม จ้างงานเพิ่ม คนงานเหล่านี้มีรายได้มากขึ้นชำระหนี้ได้มากขึ้น(หนี้ครัวเรือนลดลงอย่างแท้จริง) ซื้อสินค้าอุปโภคบริโภคมากขึ้น ทานอาหารมากขึ้น เดินทางท่องเที่ยวมากขึ้น เม็ดเงินเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจมากขึ้น ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรมเพิ่มขึ้น ทำให้เศรษฐกิจเติบโตมากขึ้น สร้างความเชื่อมั่นให้นักลงทุนต่างประเทศและในประเทศลงทุนมากขึ้นและเร็วขึ้น ผลิตสินค้าส่งออกมากขึ้น เศรษฐกิจของประเทศไทยจะได้เติบโตเป็นวงจรขาขึ้นในอัตราที่สูงขึ้นเสียที

ส่วนเงินกองทุน 2,000 หรือ 5,000 ล้านบาทขึ้นกับเป้าหมายที่จะให้ขายรถกระบะเพิ่มขึ้นกี่หมื่นคันในแต่ละปี ซึ่งรัฐบาลจะจ่ายในอีกสองปีข้างหน้าเมื่อยึดรถกระบะมาแล้วและประมูลขายขาดทุนแล้วเท่านั้น

ส.อ.ท.ชงรัฐบาลอนุทิน ตั้งกองทุน 5,000 ล้านบาท ค้ำประกันรถกระบะ

ด้านตลาดส่งออกรถยนต์สำเร็จรูป ในเดือนสิงหาคม 2568 ส่งออกได้ 71,179 คัน ลดลงร้อยละ 17.30 จากส่งออกรถกระบะใช้น้ำมันลดลงและรถยนต์นั่งที่ใช้น้ำมันลดลงพราะการเข้มงวดในการปล่อยก๊าซคาร์บอนของบางประเทศ ส่วนตัวเลขส่งออก 8 เดือนที่ผ่านมา (มกราคม – สิงหาคม 2568) ส่งออกรถยนต์สำเร็จรูป 602,975 คัน ลดลงร้อยละ 12.44 

อย่างไรก็ดีแม้ในภาพรวมทั้งยอดผลิต ยอดขายและยอดส่งออกตัวเลขจะลดลง แต่เมื่อโฟกัสเฉพาะยอดของรถยนต์ไฟฟ้า BEV จะพบว่า มีการเติบโต โดยตัวเลขในเดือนสิงหาคม 2568 

  • ไทยผลิตรถยนต์ไฟฟ้า 7,512 คัน เพิ่มขึ้น ร้อยละ 2,034.09 
  • ไทยขายรถยนต์ไฟฟ้า (BEV) 9,309 คัน เพิ่มขึ้นร้อยละ 27.49
  • ไทยส่งออกรถยนต์นั่งไฟฟ้า 1,372 คัน เพิ่มขึ้น ร้อยละ 100 
  • ไทยส่งออกรถกระบะไฟฟ้า 51 คัน เพิ่มขึ้น ร้อยละ 100