เปิดไส้ในบัตรสวัสดิการรัฐ ก่อนรับเงินช่วยเหลือเพิ่ม

22 มี.ค. 2565 | 10:25 น.

คลังเดินหน้า ช่วยลดภาระประชาชน บรรเทาผลกระทบค่าครองชีพ เบื้องต้นช่วยกลุ่มเปราะบางผ่านบัตรสวัสดิการรัฐ ยันกองทุนสวัสดิการรัฐมีเงินเหลือ 4-5 หมื่นล้าน เพียงพอดูแลกลุ่มเปราะบาง “สันติ” ย้ำ “คนจน” ไม่ใช่ภาระรัฐ

โครงสร้างเศรษฐกิจไทยที่พึ่งพารายได้จากต่างประเทศในสัดส่วนสูง ทั้งรายได้จากการส่งออกและรายได้จากภาคการท่องเที่ยว ทำให้เศรษฐกิจไทยมีความเปราะบางต่อการเปลี่ยนแปลงภายนอกสูงมาก หรือ ขาดความยืดหยุ่นสูงนั่นเอง สะท้อนจากผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 ไทยก็เป็นหนึ่งในประเทศที่ได้รับผลกระทบรุนแรงและยังฟื้นตัวช้ากว่าประเทศอื่นๆ 

 

เช่นเดียวกับผลกระทบจากสงครามรัสเซีย-ยูเครน ที่ทำให้ราคาน้ำมันในตลาดโลกพุ่งสูงขึ้น และส่งผลต่อวัตถุดิบเพิ่มสูงตามด้วย เพราะน้ำมันเป็นต้นทุนของการผลิตและให้บริการทุกประเทศในโลก โดยเฉพาะไทยเป็นประเทศที่พึ่งพาพลังงานในสัดส่วนที่สูงเมื่อเทียบกับประเทศอื่นๆ

 

ราคาน้ำมันที่สูงขึ้น ส่งผลกระทบต่อต้นทุนผู้ประกอบการเพิ่มขึ้น สะท้อนไปราคาสินค้าที่แพงขึ้น เห็นจากตัวเลขล่าสุดของอัตราเงินเฟ้อเดือนกุมภาพันธ์ 2565 ที่ขยายตัวกว่า 5.28% สูงสุดในรอบ 13 ปีนับจากปี 2551 รัฐบาลจึงออกมาตรการบรรเทาผลกระทบค่าครองชีพประชาชน  ซึ่งการช่วยเหลือเบื้องต้น จะเป็นการช่วยเหลือกลุ่มผู้มีรายได้น้อยผ่านบัตรสวัสดิการแห่งรัฐที่มีอยู่  13.45 ล้านราย

 

นายสันติ พร้อมพัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลังเปิดเผยว่า การช่วยเหลือบรรเทาภาระค่าครองชีพของผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ เพิ่มเติมในช่วงนี้ ทั้งค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าก๊าซหุงต้ม จะต้องจัดสรรงบส่วนกลางใส่เพิ่มเข้าไปในกองทุนประชารัฐสวัสดิการ เนื่องจากเป็นมาตรการพิเศษที่เพิ่มขึ้นมา ซึ่งขณะนี้ยังอยู่ระหว่างรอตัวเลขสรุปจากกระทรวงพลังงาน ส่วนงบประมาณในกองทุนประชารัฐสวัสดิการขณะนี้เหลืออยู่ประมาณ 4-5 หมื่นล้านบาท ซึ่งเพียงพอที่จะใช้สำหรับการดูแลกลุ่มเปราะบางที่ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ

เปิดไส้ในบัตรสวัสดิการรัฐ ก่อนรับเงินช่วยเหลือเพิ่ม

“เงินส่วนนี้เป็นเงินที่จำเป็น เพื่อเข้าดูแลสร้างความเสมอภาคของประชาชน โดยเฉพาะกลุ่มที่ต้องการได้รับการดูแล เพื่อให้เกิดความเข้มแข็ง และไม่ถือเป็นภาระของงบประมาณ ไม่ว่าจะกี่ปีรัฐบาลก็ต้องดูแลพวกเขา เชื่อว่าไม่มีใครอยากจน แต่เขาอาจติดข้อจำกัดที่ยังทำให้หลุดพ้นจากความจนไม่ได้ เมื่อเศรษฐกิจดีขึ้น โอกาสมากขึ้น คนกลุ่มนี้ก็จะมีรายได้มากขึ้น และเมื่อรายได้เกินเกณฑ์ที่กำหนดก็จะหลุดจากสิทธิในบัตรสวัสดิการฯ โดยอัตโนมัติ” นายสันติกล่าว

 

อย่างไรก็ตาม ไม่อยากให้มองว่า รัฐบาลยื่นให้แต่ปลา แต่ไม่สอนให้ตกปลา เพราะบัตรสวัสดิการฯ ถือเป็นสวัสดิการที่ประชาชนในกลุ่มเปราะบางมีสิทธิที่จะได้รับ ขณะที่การสร้างงานสร้างอาชีพ ก็มีคณะกรรมการแก้ไขปัญหาความยากจนเข้าไปดูแลอยู่ ดังนั้น ถ้าตัวเลขคนจน หรือ ผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ เพิ่มขึ้น รัฐบาลก็ต้องเข้าไปดูแล ไปสร้างงานสร้างอาชีพ เพื่อให้พวกเขามีรายได้เพิ่มขึ้นและหลุดพ้นจากเกณฑ์เงื่อนไขของบัตรสวัสดิการรัฐ

 

ส่วนความคืบหน้าในการลงทะเบียนบัตรสวัสดิการแห่งรัฐรอบใหม่นั้น นายสันติกล่าวว่า แบบฟอร์มต่างๆเสร็จหมดแล้ว ขณะนี้รองเพียงการเชื่อมระบบให้ครบทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเท่านั้น

 

อย่างไรก็ตาม หากพิจารณาสิทธิประโยชน์ของผู้ถือบัตรสวัสดิการฯ จะพบว่า ทุกวันที่ 1 ของเดือน ผู้ถือบัตรฯ จะได้วงเงินในการซื้อสินค้า  200/300 บาทต่อเดือน และล่าสุดยังได้วงเงินเพิ่มอีกคนละ 200 บาทเป็นเวลา 3 เดือน ตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ไปจนถึงเดือนเมษายน 2565 ในโครงการเพิ่มกำลังซื้อตามมติคณะรัฐมนตรี (ครม.) เพื่อช่วยเหลือประชาชนเพิ่มเติมในช่วงที่มีการระบาดของโควิด-19

 

นอกจากนั้นยังได้รับส่วนลดค่าก๊าซหุงต้ม 45 บาท ต่อ 3 เดือน  และตั้งแต่เดือนเมษายน คาดว่า จะได้รับเพิ่มเติมอีก 55 บาท เป็น 100 บาทต่อ 3 เดือน เพื่อบรรเทาผลกระทบให้กับประชาชนจากราคาก๊าซหุงต้มที่ปรับเพิ่มขึ้นกิโลกรัมละ 1 บาท หลังจากกระทรวงพลังงานจะไม่ต่ออายุมาตรการตรึงราคา 318 บาทต่อถังขนาด 15 กิโลกรัมที่จะสิ้นสุดในวันที่  31 มีนาคมนี้ และจะมีการปรับทุก 3 เดือน ทำให้ถึงสิ้นปี นี้ราคากําซหุงต้มจะเพิ่มขึ้นรวม 45 บาทต่อถัง 15 กิโลกรัม

 

วงเงินที่ได้รับทุกวันที่ 1 ของเดือน จะไม่สามารถถอนเป็นเงินสดได้ และไม่สะสมในเดือนถัดไป ยังมีค่าใช้จ่ายสำหรับการใช้บริการบขส. 500 บาท/เดือน รถไฟ 500 บาท/เดือน และรถไฟฟ้า (MRT+BTS+ARL)/ ขสมก. 500 บาท/เดือน

เปิดไส้ในบัตรสวัสดิการรัฐ ก่อนรับเงินช่วยเหลือเพิ่ม

ส่วนทุกวันที่ 18 ของเดือนจะสามารถถอนเป็นเงินสดได้ และสะสมในเดือนถัดไปได้คือ เงินคืนค่าไฟฟ้า ไม่เกิน 315 บาท/ครัวเรือน/เดือน เงินคืนค่าน้ำประปา ไม่เกิน 100 บาท/ครัวเรือน/เดือน สำหรับผู้ถือบัตรฯ ที่ใช้น้ำประปาไม่เกิน 315 บาท/เดือน จะได้รับเงินคืนค่าน้ำไม่เกิน 100 บาท ส่วนที่เกิน 100 บาท ผู้ถือบัตรฯ เป็นผู้ชำระเอง

 

ขณะที่ทุกวันที่ 22 ของเดือนจะมีเงินเพิ่มเบี้ยความพิการ 200 บาทต่อเดือน สำหรับผู้ถือบัตรฯ ที่มีบัตรประจำตัวคนพิการและได้รับเงินเบี้ยความพิการ ซึ่งเงินส่วนนี้สามารถถอนเป็นเงินสดได้และสะสมในเดือนถัดไปได้

 

ทั้งนี้รัฐบาลได้เริ่มโครงการบัตรสวัสดิการรัฐแห่งรัฐมาตั้งแแต่ปี 2560-2561 โดยขณะนั้น มีผู้มาลงทะเบียนประมาณ 18.76 ล้านคน มีผู้ผ่านเกณฑ์อยู่ 14.6 ล้านคน ซึ่งในระยะ 5 ปีที่ผ่านมา รัฐบาลไม่ได้เปิดให้มีการลงทะเบียน เพื่อคัดกรองบุคคลที่ควรได้รับสิทธิ แต่ก็มีจำนวนผู้ได้รับสิทธิลดลงทั้งจากการเสียชีวิต การยกเลิกบัตรจากการขาดคุณสมบัติ ทำให้ปัจจุบันเหลือผู้ได้รับสิทธิอยู่ 13.45 ล้านคนรับสิทธิ แต่ก็มีจำนวนผู้ได้รับสิทธิลดลงทั้งจากการเสียชีวิต การยกเลิกบัตรจากการขาดคุณสมบัติ ทำให้ปัจจุบันเหลือผู้ได้รับสิทธิอยู่ 13.45 ล้านคน