เปิดแพ็คเกจรถ EV จ่อเข้าครม.8ก.พ.นี้ อุดหนุนสูงสุด1.5แสนบาท

03 ก.พ. 2565 | 21:15 น.

จับตา มาตรการสนับสนุนการใช้ยานยนต์พลังงานไฟฟ้า หรือแพ็คเกจรถยนต์อีวี(EV) คาดนำเสนอที่ประชุม ครม. วันที่ 8 ก.พ.นี้ พิจารณา ครอบคลุมประเภทรถยนต์ รถจักรยานยนต์ และรถกระบะ โดยมีวงเงินอุดหนุนสูงสุด 150,000 บาท

หลังจากรัฐบาลมีนโยบายในการส่งเสริมการผลิตและการใช้ยานยนต์ไฟฟ้า หรือ รถยนต์อีวี (Electric Vehicle : EV) โดยพยายามหาทางดึงดูดบริษัทขนาดใหญ่ที่เป็นผู้นำที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีรถยนต์อีวี เข้ามาตั้งฐานการผลิตในประเทศไทย

 

ควบคู่กับการจัดทำมาตรการ เพื่อสนับสนุนเป้าหมายในการผลิตรถอีวีให้ได้ 30% ของการผลิตรถยนต์ในประเทศไทยภายในปี 2573 

 

สำหรับการจัดทำมาตรการดังกล่าวมีความคืบหน้ามาอย่างต่อเนื่อง ล่าสุด แหล่งข่าวจากทำเนียบรัฐบาล แจ้งว่า ในการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) สัปดาห์หน้าวันอังคารที่ 8 ก.พ. 65 มีความเป็นไปได้สูงว่า ที่ประชุมจะมีการพิจารณามาตรการสนับสนุนการใช้ยานยนต์ไฟฟ้า ครอบคลุมประเภทรถยนต์ รถจักรยานยนต์ และรถกระบะ หลังจากได้มีการจัดทำมาตรการเสร็จสิ้นแล้ว รอเพียงแค่การส่งหนังสือเวียนถึงหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทำความเห็นประกอบการพิจารณา

 

“ตอนนี้หน่วยงานต่าง ๆ กำลังรับหนังสือเวียนและจัดทำความเห็นประกอบเพื่อนำเสนอครม. โดยเหลือเพียงแค่ 1-2หน่วยงานเท่านั้น หากทำเสร็จได้เร็ว ในสัปดาห์หน้าก็น่าจะเข้าครม.ได้ โดยจะออกมาเป็นแพ็คเกจ” แหล่งข่าวระบุ

แหล่งข่าว ยังระบุว่า เบื้องต้นมาตรการนี้ มีทั้งการลดอากรขาเข้า ลดภาษีสรรพสามิต และให้ เงินอุดหนุน โดยมีข้อผูกผันในการผลิต และการใช้ชิ้นส่วนสำคัญในประเทศ ซึ่งที่ผ่านมาคณะกรรมการนโยบายยานยนต์ไฟฟ้าแห่งชาติได้เห็นชอบไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

 

ทั้งนี้ตามมาตรการดังกล่าว ได้กำหนดรูปแบบเอาไว้ 3 เรื่องหลัก คือ

  1. การส่งเสริมให้เกิดการใช้รถยนต์ไฟฟ้าชนิดใช้แบตเตอรี่หรือ BEV ภายในประเทศ
  2. การส่งเสริมการผลิต BEV เพื่อชดเชยการนำเข้า
  3. การผลิตและการใช้ชิ้นส่วน BEV สำคัญภายในประเทศ

 

โดย 2 รูปแบบแรกกำหนดระยะเวลาในปี 2565-2568 ส่วนรูปแบบที่ 3 กำหนดระยะเวลาในปี 2569-2578

สำหรับแนวทางการส่งเสริมตามมาตรการ แบ่งรถยนต์ออกเป็น 3 ประเภท ดังนี้


1.รถยนต์

 

กรณีแรก รถยนต์ที่มีราคาขายปลีกแนะนำไม่เกิน 2 ล้านบาท สำหรับรถยนต์ที่ผลิตและประกอบในประเทศ มีสิทธิประโยชน์ คือ 

  • ลดอากรขาเข้าสูงสุด 40% (ปี 2565-2566) 
  • ลดภาษีสรรพสามิต จาก 8% เป็น 2% (ปี 2565- 2568) 
  • เงินอุดหนุน (ปี 2565-2568) แยกเป็น วงเงิน 70,000 บาท สำหรับขนาดแบตเตอรี่ต่ำกว่า 30 กิโลวัตต์ต่อชั่วโมง และวงเงิน 150,000 บาท สำหรับขนาดแบตเตอรี่ 30 กิโลวัตต์ต่อชั่วโมงขึ้นไป 

 

สำหรับรถยนต์ที่มีราคาขายปลีกแนะนำไม่เกิน 2,000,000 บาท ในปี 2567 ต้องผลิตเพื่อชดเชยการนำเข้าในปี 2565-2566 โดยสามารถผลิตรถรุ่นใดก็ได้


กรณีที่สอง รถยนต์ที่มีราคาขายปลีกแนะนำมากกว่า 2 ล้านบาท แต่ไม่เกิน 7 ล้านบาท กำหนดสิทธิประโยชน์ คือ 

  • ลดอากรขาเข้าสูงสุด 20% (ปี 2565-2566) 
  • ลดภาษีสรรพสามิต จาก 8% เป็น 2% (ปี 2565- 2568) 

 

ทั้งนี้ต้องเลือกผลิตรถยนต์จากรถรุ่นใดรุ่นหนึ่งที่ได้นำเข้ามา ในช่วงปี2565-2566 เท่านั้o ขณะเดียวกันยังกำหนดเงื่อนไขผู้ขอรับสิทธิตามมาตรการส่งเสริมทั้ง 2 กรณี ต้องเป็นผู้ประกอบอุตสาหกรรมภายในประเทศ, ผลิตรถยนต์ชดเชยในปี 2567 เท่ากับจำนวนที่นำเข้า CBU ในปี 2565-2566 หากจำเป็นต้องขยายเวลา การผลิตชดเชยได้ถึง 2568 และจะต้องผลิตในอัตราส่วน 1 ต่อ 1.5 เท่า (นำเข้า 1 คัน ผลิต 1.5 คัน)

 

2.รถจักรยานยนต์

 

กำหนดราคาขายปลีกแนะนำไม่เกิน 150,000 บาท มีสิทธิประโยชน์ผ่านเงินอุดหนุน 18,000 บาท/คัน ทั้ง CKD และ CBU (ปี 2565-2568) 

 

ส่วนเงื่อนไขของผู้ขอรับสิทธิตามมาตรการส่งเสริมฯ ต้องเป็นผู้ประกอบอุตสาหกรรมภายในประเทศ, ผลิตรถยนต์ชดเชยในปี 2567 เท่ากับจำนวนที่นำเข้า CBU ในปี 2565 – 2566 หากจำเป็นต้องขยายเวลาการผลิตชดเชยได้ถึงปี 2568 โดยจะต้องผลิตในอัตราส่วน 1 ต่อ 1.5 และต้องเลือกผลิตรถยนต์จากรถรุ่นใดรุ่นหนึ่งที่ได้นำเข้ามาในช่วงปี 2565 – 2566 เท่านั้น

 

3.รถกระบะ

 

ราคาขายปลีกแนะนำไม่เกิน 2 ล้านบาท มีสิทธิประโยชน์ คือ ลดภาษีสรรพสามิตเป็น 0% ในปี 2565-2568 และเงินอุดหนุน (ปี 2565-2568) วงเงิน 150,000 บาท สำหรับรถยนต์กระบะประเภท BEV ที่มีแบตเตอรี่ขนาดตั้งแต่ 30 กิโลวัตต์ชั่วโมงขึ้นไป (เฉพาะรถยนต์กระบะที่ผลิตในประเทศ เท่านั้น) 

 

ส่วนเงื่อนไขต้องทำสัญญากับกรมสรรพสามิตก่อนการขอใช้สิทธิผลิตรถยนต์กระบะประเภท BEV ทั้งนี้เป็นไปตามหลักเกณฑ์ เงื่อนไข ที่กรมสรรพสามิตประกาศกำหนด, ผู้ขอรับสิทธิต้องเป็นผู้ประกอบอุตสาหกรรม, ผู้ขอรับสิทธิต้องยื่นโครงสร้างราคาขายปลีกแนะนำกับกรมสรรพสามิตเพื่อพิจารณา สำหรับรถยนต์กระบะประเภท BEV ที่มีราคาขายปลีกแนะนำไม่เกิน 2 ล้านบาท และผู้ขอรับสิทธิต้องผลิตหรือใช้แบตเตอรี่ที่ผลิตหรือประกอบใน ประเทศ โดยต้องเลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง