4 วิธีหลีกหนีเมื่อตกเป็นเหยื่อความรุนแรงควรทำยังไง เช็คที่นี่

22 เม.ย. 2566 | 14:03 น.

4 วิธีหลีกหนีเมื่อตกเป็นเหยื่อความรุนแรงควรทำยังไง เช็คที่นี่ กรมสุขภาพจิตเตือนอย่านิ่งเฉย ควรแสวงหาความช่วยเหลือ ชี้ปล่อยเวลานานความรักในรูปแบบที่ผิดอาจทำลายสุขภาพใจในระยะยาว

จากข่าวความรุนแรงในคู่รักและครอบครัวที่ปรากฏมากขึ้นในสื่อต่างๆ กรมสุขภาพจิตต้องการให้สังคมร่วมตระหนักถึงความสำคัญของปัญหาผู้ที่ถูกกระทำรุนแรง ที่ส่วนใหญ่กว่า 90% ของเหยื่อเป็นเพศหญิง โดยเหยื่อความรุนแรงต้องพยายามแก้ไขสถานการณ์ ไม่ร่วมปกปิดปัญหา 

และตั้งสติหาทางเลือกที่ปลอดภัยจากการถูกทำร้ายร่างกาย ปกป้องตนเองไม่ให้ถูกกระทำซ้ำรวมถึงการขอความช่วยเหลือจากครอบครัว เพื่อนหรือคนใกล้ชิด และมีวิธีจัดการอารมณ์และจิตใจจากความเศร้าหรือความโกรธ ไม่ให้เกิดความสูญเสียต่อเนื่องต่อชีวิตรวมถึงการเกิดบาดแผลทางใจของตนเองและครอบครัว

พญ.อัมพร เบญจพลพิทักษ์ อธิบดีกรมสุขภาพจิต เปิดเผยว่า เมื่อนึกถึงหรือประสบปัญหาถูกกระทำความรุนแรงจนเกิดอารมณ์เศร้าหรือโกรธสามารถใช้ 4 วิธีจัดการอารมณ์และจิตใจ ประกอบด้วย 

  • พยายามแยกตัวออกจากสถานการณ์เสี่ยงให้ตนเองมีความปลอดภัย 
  • ตั้งสติให้เวลากับตนเองในการแก้ปัญหาให้เร็วที่สุด 
  • ขอความช่วยเหลือจากครอบครัวหรือคนใกล้ชิดโดยไม่เขินอาย และไม่ปล่อยให้เวลาล่วงเลยไปยาวนาน 
  • ดูแลจิตใจตนเอง ด้วยการนึกถึงเรื่องที่ดี ๆ ในอดีตให้รู้สึกผ่อนคลาย 
  • หาสิ่งที่ตนเองชอบทำให้อารมณ์ดี หรือใช้อารมณ์ขันเพื่อดับอารมณ์เศร้าโศก เสียใจ

ขณะนี้พบการนำเสนอข่าวการใช้ความรุนแรงในปัญหาความสัมพันธ์ได้มากขึ้นและบ่อยขึ้น เป็นอีกเหตุปัจจัยที่ยิ่งเสริมให้ผู้มีความเครียดขาดสติและใช้ความรุนแรงในการปัญหาอย่างผิดๆได้ง่ายขึ้นตามภาพที่พบเห็น อีกทั้งผู้ที่ถูกกระทำความรุนแรงเองก็มักจะไม่กล้าที่บอกเล่าหรือขอความช่วยเหลือจากคนรอบข้าง เพราะความอับอาย หรือเพราะความรักที่มีต่อผู้ที่เป็นฝ่ายกระทำ จนเกรงกลัวว่าบุคคลที่ตนรักจะถูกตีตรา ตำหนิ ถูกลงโทษจากสังคม หรือถูกดำเนินคดี เป็นต้น

4 วิธีหลีกหนีเมื่อตกเป็นเหยื่อความรุนแรงควรทำอย่างไร เช็คเลยที่นี่  

อย่างไรก็ดี สิ่งดังกล่าวเหล่านี้ถือเป็นระเบิดเวลาอย่างหนึ่ง ยิ่งปล่อยเวลาล่วงเลยไป ก็จะทวีความรุนแรง ซับซ้อนและนำไปสู่การสูญเสียรูปแบบต่างๆได้ โดยผลในระยะยาวที่สำคัญ คือ การเกิดภาวะซึมเศร้า การใช้สุราและสารเสพติด ตลอดจนปัญหาการทำร้ายกันหรือการฆ่าตัวตาย 

นอกจากนี้ หากเด็กและเยาวชนที่แม้ไม่ถูกกระทำความรุนแรงโดยตรง เพียงแค่เห็นสมาชิกในครอบครัวถูกกระทำความรุนแรงต่อเนื่องยาวนาน จะส่งผลกระทบไม่ต่างกับผู้ที่ถูกกระทำด้วย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเด็กผู้หญิงอาจมีแนวโน้มที่จะยอมรับความรุนแรงมาเป็นส่วนหนึ่งและมองว่าเป็นเรื่องปกติของชีวิตคู่ ขณะที่เด็กชายจะเรียนรู้ผิดๆว่าการใช้ความรุนแรงเป็นวิธีแก้ปัญหาหรือการแสดงอำนาจที่เหนือกว่าต่อผู้ที่ตนเองรัก 

จากข้อมูลของศูนย์พึ่งได้ กระทรวงสาธารณสุข ในช่วงปี 2561 – 2565  พบว่า มีจำนวนผู้ที่ถูกกระทำความรุนแรงมารับบริการจำนวนทั้งสิ้น 80,272 ราย ซึ่งเพศหญิงเป็นกลุ่มที่ขอเข้ารับบริการมากที่สุดซึ่งมีจำนวน 73,025 รายหรือคิดเป็น 90.97% 

โดยประเภทของความรุนแรงที่พบจากกลุ่มผู้ที่มาขอรับบริการในศูนย์พึ่งได้ อันดับแรกคือการกระความรุนแรงทางด้านร่างกาย 48.30% การกระทำความรุนแรงทางเพศ 25.81% และการกระทำรุนแรงทางจิตใจ 18.89%

พญ.บุญศิริ จันศิริมงคล ผู้ทรงคุณวุฒิกรมสุขภาพจิต กล่าวว่า ความรุนแรงไม่เพียงแต่สร้างบาดแผลแต่เพียงทางร่างกายเท่านั้น ยังส่งผลทางจิตใจในระยะยาวทั้งต่อครอบครัวผู้ที่ได้รับผลกระทบ และผู้ที่ไม่สามารถก้าวผ่านสถานการณ์นั้นได้จนนำไปสู่การใช้ชีวิตที่ไม่มีความสุข เพราะความรู้สึกโศกเศร้าที่ยังติดค้างในใจจะสามารถประทุรุนแรงขึ้นได้ตลอดเวลา 

และอาจมีลักษณะขึ้น ๆ ลง ๆ ตามสิ่งเร้าภายในจิตใจและสิ่งเร้าภายนอก ซึ่งเมื่อภาพการถูกทำร้ายที่เจ็บปวดเกิดขึ้นในความคิดบ่อยๆ มากขึ้น ส่งผลต่อปัยหาสุขภาพจิตต่อผู้ที่ถูกกระทำ เช่น มีการแยกตัวจากคนใกล้ชิด สมาชิกอื่นในครอบครัว ญาติหรือเพื่อน ๆ หลีกเลี่ยงกิจกรรมที่ทำให้ต้องหวนคิดถึงเหตุการณ์ความรุนแรง  และแม้จะสามารถสงบจิตใจได้แต่ความโกรธจากเหตุการณ์หรือสิ่งแวดล้อมก็ส่งผลต่อสุขภาพจิตได้