เตือน! สงกรานต์ไม่นำเชื้อโควิด19 สู่ผู้สูงวัย

12 เม.ย. 2567 | 07:27 น.

เตือน! สงกรานต์ไม่นำเชื้อโควิด19 สู่ผู้สูงวัย หลังเชื้อยังไม่ได้หมดไปและยังมีผลกระทบต่อการใช้ชีวิต ห่วงช่วงเทศกาลสำคัญที่ต้องติดต่อและสัมผัสกับผู้คนจำนวนมาก แนะตรวจ ATK ก่อนเดินทาง

ศูนย์จีโนมการแพทย์ คณะแพทย์ศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล และองค์การอนามัยโลก (WHO) เปิดเผยข้อมูลเกี่ยวกับโรคโควิด 19 และเทศกาลสงกรานต์ ว่า โรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) ยังไม่ได้หมดไปและยังมีผลกระทบต่อการใช้ชีวิตเป็นระยะ โดยเฉพาะช่วงเทศกาลสำคัญที่ต้องติดต่อและสัมผัสกับผู้คนจำนวนมาก โดยเฉพาะในช่วงเทศกาลสงกรานต์ที่มีการเดินทางกลับบ้าน หรือจัดทริปท่องเที่ยวพักผ่อน

ทั้งนี้ โดยกรมควบคุมโรคแนะนำว่าผู้ที่มีความเสี่ยง หรือต้องติดต่อ หรือสัมผัสกับกลุ่มเปราะบางหรือกลุ่ม 608 ได้แก่ ผู้ที่มีอายุตั้งแต่ 60 ปีขึ้นไป หรือเป็นผู้ป่วยใน 7 กลุ่มโรคเสี่ยง ได้แก่ โรคเบาหวาน โรคอ้วน โรคหัวใจและหลอดเลือด โรคไต โรคมะเร็ง โรคทางเดินหายใจเรื้อรัง และโรคหลอดเลือดในสมอง รวมถึงกลุ่มหญิงตั้งครรภ์ ยิ่งจำเป็นต้องตรวจ ATK ก่อนการเดินทางอย่างน้อย 72 ชั่วโมง      

รวมถึงใช้มาตรการป้องกันการติดเชื้อ เช่น สวมหน้ากากอนามัย ปิดปากและปิดจมูกเมื่อไอหรือจาม ล้างมือเป็นประจำ หรือเข้ารับการฉีดวัคซีนโควิด-19 ประจำปีเพื่อสร้างความมั่นใจ เพราะขณะนี้ก็ยังมีรายงานผู้ติดเชื้อโควิด-19 เข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลและมีรายงานผู้เสียชีวิตซึ่งส่วนใหญ่เป็นกลุ่ม 608

อย่างไรก็ดี หากติดโควิด-19 ควรงดเดินทางเพื่อความปลอดภัยตนเองและคนรอบข้างโดยเฉพาะเมื่อมีสมาชิกในครอบครัวอยู่ในกลุ่ม 608 เนื่องจากอาการอาจรุนแรงขึ้นระหว่างเดินทาง และยังมีความเสี่ยงในการแพร่เชื้อไปให้คนอื่นได้

เตือน! สงกรานต์ไม่นำเชื้อโควิด19 สู่ผู้สูงวัย

สำหนับวัคซีนโควิด-19 ควรฉีดกระตุ้นปีละครั้งโดยเฉพาะผู้ที่มีความเสี่ยงในกลุ่ม 608 เพื่อเสริมสร้างภูมิคุ้มกัน ลดความเสี่ยงต่อการติดเชื้อและความรุนแรงของโรค และลดโอกาสเกิดภาวะลองโควิด โดยเฉพาะในช่วงเทศกาลสงกรานต์ที่ประชาชนต่างกลับบ้านเพื่อใช้เวลาในวันหยุดยาวและฉลองวันขึ้นปีใหม่ไทยพร้อมกับครอบครัวและญาติมิตรอาจเพิ่มโอกาสในการได้รับเชื้อได้ 

ข้อมูลจาก WHO ระบุว่า การเสริมสร้างภูมิคุ้มกันโรคโดยการฉีดวัคซีนโควิด-19 ช่วยลดอัตราการเจ็บป่วยรุนแรงและการเสียชีวิตได้ โดยนับตั้งแต่ปี พ.ศ. 2564 จนถึงปัจจุบัน มีผู้ได้รับการฉีดวัคซีนโควิด-19 ทั่วโลกแล้วกว่า 13,000 ล้านโดส  ภายใต้การติดตามและเฝ้าระวังความปลอดภัยของวัคซีนหลังการฉีดให้กับประชาชนในแต่ละประเทศ 
 

โดยหน่วยงานระดับชาติ รวมถึงในประเทศไทย พบว่าวัคซีนโควิด-19 ช่วยป้องกันการเสียชีวิตของประชาชนกว่า 14.4 ล้านคนทั่วโลก ขณะที่ WHO ได้ทำการศึกษาทางคลินิกหลังการอนุมัติให้มีการใช้วัคซีนกับประชาชนในวงกว้างเพื่อรายงานความปลอดภัยและประสิทธิภาพของวัคซีน โดยทำการติดตาม เฝ้าระวัง และประเมินผลอย่างใกล้ชิดและสม่ำเสมอ ถึงผลข้างเคียงและอาการไม่พึงประสงค์ของวัคซีนทั่วโลกที่อาจเกิดขึ้นได้ 

ซึ่งข้อมูลที่ได้รับบ่งชี้ว่า หลังจากที่มีการใช้วัคซีนป้องกันโควิด-19 ชนิด mRNA ไปมากกว่าพันล้านโดสทั่วโลกนั้น มีความปลอดภัยดี ผลข้างเคียงที่รุนแรงจากวัคซีนโควิด-19 พบได้น้อยมาก โดยอาการข้างเคียงที่เจอส่วนใหญ่ไม่ต่างจากวัคซีนชนิดอื่น ๆ ที่มีใช้กันมานาน และอาการไม่รุนแรง ขณะที่ประโยชน์ที่ได้รับจากวัคซีนในการป้องกันการติดเชื้อและโรครุนแรงมีมากกว่าความเสี่ยงอย่างเทียบกันไม่ได้ จึงยังคงแนะนำให้ฉีดวัคซีน โดยเฉพาะในกลุ่มเสี่ยง 

อย่างไรก็ตาม ผลจากการติดตามเฝ้าระวังและศึกษาในผู้ที่ได้รับวัคซีน mRNA ในประเทศไทย ซึ่งมีการใช้วัคซีน mRNA ไปแล้วเกือบ 50 ล้านโดส พบว่า มีอัตราการเกิดภาวะกล้ามเนื้อหัวใจ/เยื่อหุ้มหัวใจอักเสบราว 53 ราย หรือคิดเป็นอัตรา 1 ในล้าน   ซึ่งถือว่าน้อยมาก โดยภาวะกล้ามเนื้อหัวใจ/เยื่อหุ้มหัวใจอักเสบจากวัคซีน mRNA นั้นเกิดขึ้นได้ แต่อาการจะไม่รุนแรง โดยเฉพาะผู้สูงอายุไม่ได้เพิ่มความเสี่ยงในการเกิดภาวะกล้ามเนื้อหัวใจอักเสบ ภาวะกล้ามเนื้อหัวใจอักเสบอาจเกิดจากสาเหตุอื่น ๆ ได้เช่นกัน เช่น จากไวรัสตัวอื่น ๆ หรือจากการติดโควิด-19 เอง หรือจากภาวะลองโควิด 

การไม่ได้รับวัคซีนอาจมีโอกาสที่จะเกิดภาวะกล้ามเนื้อหัวใจอักเสบจากตัวโรคโควิด-19 ได้มากกว่า  นอกจากนี้ WHO ยังระบุว่า เราสามารถพบอาการข้างเคียงของวัคซีนโควิด 19 ได้เหมือนกับวัคซีนชนิดอื่น แต่ส่วนใหญ่เป็นอาการชั่วคราวและไม่รุนแรง เช่น การปวดบริเวณที่ฉีดยา อ่อนเพลีย ไข้ หนาวสั่น คลื่นไส้ ปวดศีรษะ อาการข้างเคียงที่รุนแรงพบได้น้อยมาก แต่หากมีอาการมากขึ้นและไม่หายไปภายใน 2 - 3 วันหลังจากได้รับวัคซีน ควรพบแพทย์ด่วน

แนวโน้มของวิวัฒนาการกลายพันธุ์ของโควิด-19 ทั้งในประเทศไทยและทั่วโลกอาจมีการชะลอตัว ทว่าการกลายพันธุ์ไปสู่สายพันธุ์ที่ร้ายแรงยังเกิดขึ้นได้ และวัคซีนเข็มกระตุ้นก็ได้รับการออกแบบมาเพื่อช่วยเพิ่มภูมิคุ้มกันที่อาจลดลงจากวัคซีนเข็มก่อนหน้านี้ และเพิ่มการป้องกันไวรัสโควิดสายพันธุ์ใหม่ โดยเฉพาะในกลุ่ม 608 ซึ่งมีความเปราะบาง โดยหากติดเชื้อโควิด-19 จะมีอาการรุนแรงและเป็นอันตรายมากกว่า  

การฉีดวัคซีนโควิดเข็มกระตุ้น หลังวัคซีนเข็มสุดท้ายที่เคยได้รับมา 6-12 เดือน อาจมีความจำเป็น แต่ควรปรึกษาแพทย์ก่อน เนื่องจากโรคประจำตัวและสภาพร่างกายของแต่ละคนไม่เหมือนกัน ซึ่งขณะนี้วัคซีนรุ่นใหม่ XBB.1.5 โมโนวาเลนต์ ตัวล่าสุดที่ป้องกันโอไมครอนหลายสายพันธุ์และช่วยกระตุ้นภูมิคุ้มกันที่มีต่อสายพันธุ์ JN.1 ซึ่งเป็นสายพันธุ์ที่ระบาดในปัจจุบันที่ WHO แนะใช้ป้องกันโควิด-19 ปีนี้ได้มีการนำเข้าในไทยและมีให้บริการแก่ประชาชน