บิ๊กเนมแห่ชิงตลาดผู้สูงวัย “ศูนย์ดูแล-ที่พัก’ผุดเป็นดอกเห็ด

26 มี.ค. 2566 | 21:15 น.

บิ๊กเนมพาเหรดชิงตลาดผู้สูงวัยแห่ผุด “Nursing home - Senior Living” เป็นดอกเห็ด ทั้งกลุ่มเฮลท์แคร์ อสังหาฯ รีเทล “หมอบุญ” ซุ่มเจรจาภาครัฐ-บริษัทประกัน ปลดล็อกประกันสุขภาพ เปิดทางต่างชาติใช้ชีวิตวัยเกษียณนับล้านคน TM จ่อขยาย “เดอะ พาเร้นท์ส” 4 มุมเมือง

หนึ่งในประเด็นสำคัญที่ถูกจับตามองทั่วโลกคือ “การก้าวสู่สังคมผู้สูงอายุ” ข้อมูลจากองค์การสหประชาชาติ หรือ UN ในปี 2563 ทั่วโลกมีประชากรผู้สูงอายุเกิน 60 ปี เฉลี่ยประมาณ 13.5% หรือเป็นจำนวนประมาณ 1,049 ล้านคนทั่วโลก และจะเพิ่มเป็น 21% หรือ 2,100 ล้านคนในปี 2593 ส่วนประเทศไทย

ข้อมูลจากสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) ระบุว่า ในปี 2564 ประชากรไทยที่มีอายุเกิน 60 ปีมีจำนวน 13 ล้านคน หรือประมาณ 20% ถือว่าสูงกว่าค่าเฉลี่ยทั่วโลก และประเมินว่าในอีก 10 ปีข้างหน้า ปี 2575 ไทยจะเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุระดับสูงสุดคือ มีคนอายุเกิน 60 ปี สูงถึง 28%

จากแนวโน้มดังกล่าวทำให้ ผู้ประกอบการหันมาลงทุนพัฒนาศูนย์ดูแลผู้สูงวัย (Nursing home) และที่อยู่อาศัย สำหรับผู้สูงวัย (Senior Living) เพิ่มขึ้นจำนวนมากในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา ส่งผลให้มีศูนย์ดูแลและที่อยู่อาศัยสำหรับผู้สูงวัยเกิดขึ้นเป็นดอกเห็ด ทั้งผู้ประกอบการในธุรกิจด้านสุขภาพ, อสังหาริมทรัพย์ และธุรกิจรีเทล ฯลฯ

บิ๊กเนมแห่ชิงตลาดผู้สูงวัย  “ศูนย์ดูแล-ที่พัก’ผุดเป็นดอกเห็ด

อาทิ เจเอเอส แอสเซ็ทฯ ร่วมกับวิมุต เวลเนส เซอร์วิส ของโรงพยาบาลวิมุตในเครือพฤกษาโฮลดิ้ง จำกัด (มหาชน) จัดตั้ง “SENERA ViMUT HEALTH SERVICE” โครงการศูนย์ฟื้นฟูและดูแลสุขภาพสำหรับครอบครัวและผู้สูงอายุ ภายในพื้นที่โครงการ SENERA SENIOR WELLNESS ถนนคู้บอน

บริษัท แมกโนเลีย ควอลิตี้ ดีเวล็อปเม้นต์คอร์ปอเรชั่น จำกัด (MQDC) กับโครงการดิ แอสเพน ทรี หนึ่งในส่วนประกอบของบิ๊กโปรเจ็กต์ เดอะ ฟอเรสเทียส์ บนพื้นที่ 398 ไร่ บางนาตราด กม.7 มูลค่า 1.25 แสนล้านบาทที่พักอาศัย พร้อมบริการและการดูแลตลอดชีวิตแบบครบวงจร

สำหรับผู้ที่มีอายุ 50 ปีขึ้นไป, Chersery Home ขยายบริการ “Harmoni Homecare” ดูแลผู้สูงอายุที่บ้าน และขยายการลงทุนในโรงพยาบาลกายภาพบำบัด โรงพยาบาลดูแลผู้ป่วยระยะประคับประคองและระยะท้าย เป็นต้น และยังมีโปรเจ็กต์ใหม่แนวโน้มการขยายการลงทุนทั้งโปรเจ็กต์ใหม่และโปรเจ็กต์ต่อเนื่อง

นายแพทย์บุญ วนาสิน ประธานกรรมการ บริษัท ไทย เมดิเคิล กรุ๊ป จำกัด หรือ TMG กล่าวแสดงความคิดเห็น กับ “ฐานเศรษฐกิจ” ว่า ชาวยุโรปและอเมริกาต้องการมาใช้ชีวิตหลังเกษียณที่ประเทศไทย เพราะประเทศอื่นไม่มี ทั้งการต้อนรับและการดูแลอย่างใกล้ชิด ขณะที่เทคนิคทางการแพทย์ของไทยเองไม่เป็นรองใคร ถือเป็นโอกาสของประเทศไทย

นายแพทย์บุญ วนาสิน

แต่ยังติดปัญหาเล็กน้อย ด้านระบบประกันสุขภาพของคนไทย ที่คนสูงอายุเกิน 60 ปีบริษัทประกันไม่รับประกัน เพราะฉะนั้นผู้สูงอายุจะต้องจ่ายเพื่อการดำรงชีพและดูแลสุขภาพอย่างน้อย 5 หมื่นบาทต่อเดือนซึ่งเป็นราคาที่แพงมาก

อย่างไรก็ตามปัจจุบันบริษัทอยู่ระหว่างการปรึกษากับหน่วยราชการและพูดคุยกับบริษัทประกันในไทยเพื่อหาแนวทางลดค่าประกันสุขภาพ ให้เหลือแค่หมื่นบาทต่อเดือนหรือใช้ระบบเหมาจ่าย เพื่อดึงดูดให้ชาวต่างชาติสามารถเข้ามารักษาพยาบาลกับบริษัทโรงพยาบาลในเครือและเมื่อเดินทางกลับบ้านยังสามารถรับการดูแลได้อย่างต่อเนื่อง

“ตอนนี้มีประเทศเดียวที่สามารถใช้ระบบนี้ได้คือ ญี่ปุ่น เช่น บริษัทโตโยต้า ที่มีแผนจะส่งพนักงานที่เกษียณอายุนอกประเทศญี่ปุ่นมาพักกับเรา เพราะมีประกันสุขภาพของบริษัทเขาเอง เพราะฉะนั้นโตโยต้าจะสามารถดูแลพนักงานของเขาได้ตั้งแต่เกษียณจนเสียชีวิต”

ปัจจุบันบริษัทมีโครงการสำหรับผู้สูงอายุ 4 โครงการใหญ่ๆ และในปีหน้าจะขยายเพิ่ม 3-4 โครงการรวมทั้งหมด 8 โครงการ โดยผู้ที่จะเข้ามาอยู่ในโครงการจะได้รับการดูแลจากแพทย์ 24 ชั่วโมง และสำคัญที่สุดคือการส่งเสริม การป้องกันและดูแลสุขภาพ มีบริการตรวจร่างกายและมอนิเตอร์สุขภาพ 35 รายการ ตั้งแต่เรื่องน้ำหนักไปจนถึงสุขภาพจิต ซึ่งจะเป็นจุดเด่นในการดูแลสุขภาพ

“ที่สำคัญที่สุดคือโครงการของเราแพงกว่าคอนโดทั่วไปไม่เกิน 10% การที่ผู้สูงอายุจะได้รับการดูแลจากแพทย์ประจำโครงการ 24 ชม. มีพยาบาล นักกายภาพ แม้กระทั่ง genomics คอยดูแล เพราะในแต่ละโครงการที่เราทำจะมีโรงพยาบาลขนาดเล็กอยู่ด้วย ถือเป็นจุดเด่นและได้เปรียบคู่แข่ง ทำให้ตอนนี้ผู้สูงอายุจากต่างชาติสนใจที่จะมาอยู่กับเราเยอะ สิ่งที่เรากำลังทำตอนนี้ก็คือการแก้เรื่องของประกันสุขภาพ ถ้าทำได้ประเทศไทยจะมีชาวต่างชาติเข้ามาหลายล้านคน”

ด้านนพ.นพดล นพคุณ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ทีเอ็ม เนิร์สซิ่งแคร์ จำกัด ในกลุ่มบริษัท เทคโนเมดิคัล จำกัด (มหาชน) หรือ “TM” ผู้บริหารธุรกิจการดูแลผู้สูงอายุและโรงพยาบาลเฉพาะทางสำหรับผู้สูงอายุ ภายใต้ชื่อ “THE PARENTS” กล่าวว่า กลุ่มผู้สูงอายุแบ่งออกเป็น 3 กลุ่ม ได้แก่ ผู้สูงอายุที่ช่วยเหลือตัวเองได้ คิดเป็นสัดส่วน 85-90%

บิ๊กเนมแห่ชิงตลาดผู้สูงวัย  “ศูนย์ดูแล-ที่พัก’ผุดเป็นดอกเห็ด

ส่วนที่เหลือเป็นผู้สูงอายุที่ร่างกายเริ่มเสื่อมและผ้สูงอายุที่ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ ต้องการพึ่งพิง โดย 65% เป็นผู้ป่วยที่มีมากกว่า 1 โรค ทำให้การดูแลต้องมีความพร้อมและความเชี่ยวชาญ ศูนย์ดูแลผู้สูงอายุ เวชศาสตร์ฟื้นฟู รวมไปถึง Senior Living จึงได้รับความนิยมไปด้วย

อย่างไรก็ดีการสร้างศูนย์ดูแลสุขภาพผู้สูงวัย หรือที่อยู่อาศัยผู้สูงวัยจำเป็นจะต้องได้มาตรฐานตามที่ภาครัฐกำหนด ซึ่งหลังจากศึกษาและเตรียมความพร้อมเดอะพาเร้นท์ส เนิร์สซิ่งโฮม ศูนย์ดูแลผู้สูงอายุ ขนาด107 เตียง ใช้เวลาก่อสร้างในปี 2564 แล้วเสร็จและเปิดให้บริการในเดือนพ.ย. 2565 ที่ผ่านมา

โดยใช้งบลงทุนกว่า 500 ล้านบาท และมีแผนใช้เงินลงทุนอีก 100 ล้านบาทในการก่อสร้าง “ซีเนียร์ เรสซิเด้นท์” (seiner resident) สำหรับรองรับผู้สูงอายุและญาติผู้สูงอายุ ที่จะต้องการคอยมาดูแลผู้ป่วยอย่างใกล้ชิด รวมถึงร้านอาหารเพื่อสุขภาพ ซึ่งคาดว่าจะแล้วเสร็จในกลางปี 2567

นอกจากนี้บริเวณด้านหน้าศูนย์อยู่ระหว่างการก่อสร้างโรงพยาบาล เดอะพาเร้นท์ส (The Parents Hospital)  ขนาด 28 เตียง เพื่อให้บริการด้านเวชศาสตร์ฟื้นฟู ผู้ป่วยอัมพฤกษ์ อัมพาตทุกกลุ่มอายุ ร่วมกับการรักษาแพทย์แผนไทยประยุกต์ แพทย์แผนจีน หน่วยไตเทียม ธาราบำบัด การบริบาลนักกีฬา บริบาลคุณแม่หลังคลอด

ผู้ป่วยออฟฟิศซินโดรม สปา สามารถรองรับรักษาฟื้นฟูผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมอง, หลังผ่าตัดกระดูกและข้อ, หลังผ่าตัดใหญ่ทั่วไป และผู้ป่วยที่ต้องการฟื้นฟูสุขภาพให้แข็งแรงขึ้นก่อนกลับไปอยู่บ้าน โดยจะดำเนินการก่อสร้างเสร็จทั้งโครงการในปี 2568 และในอนาคตมีแผนขยายการบริการผู้สูงอายุให้ครบทั้ง 4 มุมเมืองรอบทิศกรุงเทพฯ ด้วย

อย่างไรก็ดีเชื่อว่า Senior Living ในวันนี้ยังขยายตัวได้อีกมาก ขณะที่การทยอยเปิดให้บริการจะสอดรับกับจำนวนผู้สูงวัยที่เพิ่มขึ้น สิ่งที่ต้องจับตาคือการชิงกลุ่มลูกค้าต่างชาติ โดยเฉพาะกลุ่มที่มีกำลังซื้อสูง ที่ต้องการเข้ามาใช้ชีวิตวัยเกษียณและช่วงบั้นปลายในประเทศไทย