KEY
POINTS
พญ.มิ่งขวัญ สุพรรณพงศ์ ผู้อำนวยการองค์การเภสัชกรรม (อภ.) เปิดเผยกับ ฐานเศรษฐกิจ ว่าทิศทางของร้านขายยาในปัจจุบันต้องปรับตัวทั้งในแง่ของผลิตภัณฑ์ที่จะนำมาจำหน่ายแทนที่จะเป็นเรื่องของยาอย่างเดียวต้องมีผลิตภัณฑ์เสริมสุขภาพให้บริการด้วย
ขณะเดียวกันก็ต้องปรับตัวในเรื่องของเทคโนโลยีควบคู่กัน โดย อภ.ได้นำดิจิทัลแพลตฟอร์มทั้ง Telemedicine และ Telepharmacy เข้ามาช่วยให้บริการกับประชาชนซึ่งจะช่วยอำนวยความสะดวกให้กับคนไข้ ไม่จำเป็นต้องเดินทางมาที่ร้านขายยาเอง
ส่วนกลุ่มที่ยังจำเป็นต้องมาร้านขายยา อภ. ก็เปิดร้านขายยาบนสถานีรถไฟฟ้าบีทีเอสเพื่อให้บริการสังคมเมืองได้เข้าถึงร้านขายยาคุณภาพในราคามาตรฐาน
ล่าสุดได้เปิดร้านขายยาองค์การเภสัชกรรมสาขากระทรวงสาธารณสุขซึ่งเป็น Flagship Store สาขาแรก พร้อมตั้งเป้าจะมีแฟลกชิพ สโตร์ กระจายอยู่ใน 3 ภาคของประเทศไทย คือ ที่เชียงใหม่ ภูเก็ต และนครราชสีมา รวมถึงจุดที่เป็นแลนมาร์คสำคัญ เช่น สถานีกลางกรุงเทพอภิวัฒน์ และสนามบินสุวรรณภูมิ เป็นต้น
"บทบาทของ อภ. ในการเปิดร้านขายยา วัตถุประสงค์ไม่ได้เพื่อแข่งขันกับภาคเอกชนแต่เพื่อรับนโยบายและโครงการต่าง ๆ ของกระทรวงสาธารณสุขมาขับเคลื่อนดำเนินการ ยืนยันว่า อภ. อยากให้ร้านขายยาภาคเอกชนเข้มแข็งด้วยตัวเองโดยอภ. จะทำหน้าที่เป็น Reference และทำงานซัพพอร์ตให้"
"ทุกคนรับรู้ว่ายาขององค์การเภสัชฯดีแต่เราต้องการทำให้คนรู้จักแบรนด์ GPO มากขึ้น จึงเดินหน้ากลยุทธ์ในการสร้างแบรนด์ GPO ผ่านการสร้างแบรนด์เชิงรุกด้วยการจัดโรดโชว์เพื่อเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายโดยเชื่อมโยงไปกับกิจกรรมการรักษาและป้องกันโรคควบคู่กัน เช่น จัดกิจกรรมให้ความรู้กับกลุ่มวัยทำงานเรื่องออฟฟิศซินโดรม เป็นต้น
ทั้งนี้ กลุ่มลูกค้าของ GPO ในส่วนของการขายปลีกหรือการซื้อยาในร้านขายยาขององค์การเภสัชกรรมนั้นที่ผ่านมามีอายุ 45 ปีขึ้นไป หรือกลุ่มคน Gen X และกลุ่มเบบี้บูมเมอร์ ซึ่งเป็นกลุ่มที่คาดหวังว่า เมื่อมาร้านขายยาขององค์การเภสัชฯ แล้วมีเภสัชกรประจำร้านให้คำปรึกษาเรื่องของโรคภัยไข้เจ็บในขั้นต้นได้
รวมทั้งกลุ่มที่ต้องการดูแลสุขภาพตัวเองเพื่อไม่ให้เกิดโรค ใส่ใจสุขภาพตัวเองและอยากมีอายุยืนยาวมากขึ้นซึ่งจากการทำรีเสิร์ชต่าง ๆ เรื่องของระบบสุขภาพ พบว่า ปัจจุบันกลุ่มวัยทำงาน กลุ่ม GEN Z จะมองหาผลิตภัณฑ์ในการดูแลสุขภาพเพิ่มขึ้น
หมายรวมถึงวิตามิน ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร และเวชสำอางต่าง ๆ กล่าวคือ ดูแลทั้งสุขภาพกายและให้ความสำคัญในการดูแลรูปร่างหน้าตาด้วย จึงเล็งเห็นว่า ตลาดกลุ่มนี้เป็นช่องว่างยังไม่มีการทำการตลาดซึ่งในอนาคตคนกลุ่มนี้ก็จะมีอายุมากขึ้น จะมีกำลังซื้อเพิ่มขึ้นซึ่งจะเข้ามาทดแทนกลุ่มลูกค้าปัจจุบันของ GPO ไม่เกิน 10 ปีข้างหน้า
"การขยายสาขาร้านขายยาบนสถานีรถไฟฟ้า BTS ภายใต้ชื่อ GPO METRO SKY เพื่อให้บริการคนเมืองและเพิ่มการเข้าถึงกลุ่ม GEN Z ให้มากขึ้นโดยมีเภสัชกรคอยให้คำปรึกษาและบริการ อาทิ สถานีชิดลม สถานีอโศก สถานีพร้อมพงษ์ สถานีศาลาแดง สถานีช่องนนทรี และสถานีอ่อนนุช เป็นต้น โดยเริ่มทยอยเปิดให้บริการตั้งแต่วันที่ 30 ก.ย.ที่ผ่านมาซึ่งจะเปิดครบทั้ง 14 สาขาภายในเดือนต.ค. นี้ เมื่อบวกรวมกับสาขาเดิมที่มีอยู่จะเปิดครบ 23 สาขาภายในเดือนปีนี้"
อย่างไรก็ตาม การเปิดร้านขายยาหรือขยายสาขาใหม่ของ GPO นับจากนี้ไปจะเป็นเชิงของการสนับสนุนนโยบายของรัฐบาลโดย GPO เป็นหน่วยงานรัฐวิสาหกิจสังกัดกระทรวงสาธารณสุขที่ทำงานร่วมกับ สปสช.ในการขับเคลื่อนระบบสุขภาพของประเทศโดยให้บริการกับประชาชน สิทธิบัตรทอง หรือ 30 บาทรักษาทุกที่ในเชิงของการป้องกัน อาทิ โครงการรับถุงยางอนามัย, ยาคุมกำเนิด, ผ้าอ้อมผู้ใหญ่ และชุดทดสอบ HIV ฟรี เป็นต้น
สำหรับปีงบประมาณ 2569 ร้านขายยา GPO ตั้งเป้าหมายที่จะให้บริการผู้ป่วยบัตรทองไม่น้อยกว่า 1 หมื่นราย ขณะที่ GPO ตั้งเป้าจะมียอดขายจากร้านขายยาทั้งหมดกว่า 300 ล้านบาท
หน้า 16 หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ฉบับที่ 4,140 วันที่ 16 - 18 ตุลาคม พ.ศ. 2568