สมัชชาสุขภาพฯ ชงตั้งกองทุนแก้งบสาธารณสุขชายแดนขาด ลดภาระงานหมอ

08 ต.ค. 2568 | 05:25 น.
อัปเดตล่าสุด :08 ต.ค. 2568 | 05:30 น.

สมัชชาสุขภาพฯ ผุดไอเดียตั้ง 'กองทุนความมั่นคงสุขภาพ' ระดมเงินภาครัฐ-เอกชน ดึงบุคลากรการแพทย์เมียนมาเป็น 'ผู้ช่วยทูตฝ่ายสาธารณสุข' ให้ไทย ดูแลคนในประเทศตนเอง แก้ปมงบสาธารณสุขชายแดนขาด ลดภาระบุคลากร-หน่วยบริการไทย

KEY

POINTS

  • สมัชชาสุขภาพแห่งชาติเสนอให้จัดตั้ง "กองทุนความมั่นคงทางสุขภาพ" เพื่อแก้ปัญหาการขาดแคลนงบประมาณในระบบสาธารณสุขชายแดนที่ต้องแบกรับภาระดูแลประชากรกลุ่มเปราะบาง
  • กองทุนจะเน้นการระดมทุนจากภายในประเทศเป็นหลัก โดยบูรณาการทรัพยากรจากภาครัฐ ภาษีเชิงยุทธศาสตร์ และการมีส่วนร่วมจากภาคเอกชน เพื่อสร้างความยั่งยืนทางการคลัง
  • มีข้อเสนอให้นำร่องปลดล็อกให้บุคลากรข้ามชาติเข้ามาช่วยดูแลสุขภาพประชาชนของตนเอง เพื่อแบ่งเบาภาระงานของบุคลากรทางการแพทย์ไทยและลดอุปสรรคด้านภาษาและวัฒนธรรม

สำนักงานคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ (สช.) ร่วมกับภาคีเครือข่าย จัดเวทีรับฟังความคิดเห็นระดับประเทศ ประเด็น "ระบบสุขภาพเชิงรุกท่ามกลางความผันผวนทางภูมิรัฐศาสตร์ (Proactive Thai Health Systems amidst Geopolitical Turbulence)" เมื่อวันที่ 7 ต.ค. 2568 ซึ่งมีผู้แทนหน่วยงานภาคียุทธศาสตร์ภาควิชาการ ภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาสังคม รวมถึงผู้แทนสมัชชาสุขภาพจังหวัดและกรรมการเขตสุขภาพเพื่อประชาชน (กขป.) ทั่วประเทศเข้าร่วมกว่า 400 คน

สำหรับประเด็นระบบสุขภาพเชิงรุกท่ามกลางความผันผวนทางภูมิรัฐศาสตร์ (Proactive Thai Health Systems amidst Geopolitical Turbulence) เป็นหนึ่งในข้อเสนอเชิงนโยบายที่อยู่ระหว่างการพัฒนาเพื่อบรรจุเป็นระเบียบวาระในงานสมัชชาสุขภาพแห่งชาติ ครั้งที่ 18 โดยมีกรอบทิศทางนโยบายสำคัญในการที่จะเปลี่ยนผ่านการดำเนินนโยบายแบบตั้งรับไปสู่การเป็นผู้มีบทบาทเชิงรุกเพื่อยกระดับความเข้มแข็งของระบบสุขภาพให้เป็นทั้งภูมิคุ้มกันปกป้องสังคม และเป็นกลไกขับเคลื่อนสร้างความมั่นคงของชาติอย่างสร้างสรรค์ ผ่านการขับเคลื่อนแม่บทการพัฒนาระบบสุขภาพเชิงรุก

นพ.ศุภกิจ ศิริลักษณ์ ผู้อำนวยการสถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข (ผอ.สวรส.) ในฐานะประธานคณะทำงานพัฒนาประเด็นระบบสุขภาพเชิงรุกท่ามกลางความผันผวนทางภูมิรัฐศาสตร์ เปิดเผยว่า การสนับสนุนเพื่อดูแลสวัสดิการด้านสุขภาพให้กลุ่มเปราะบางจากแหล่งทุนภายนอกประเทศในปัจจุบันมีความไม่แน่นอน

สมัชชาสุขภาพฯ ชงตั้งกองทุนแก้งบสาธารณสุขชายแดนขาด ลดภาระงานหมอ

เช่นกรณีที่รัฐบาลสหรัฐตัดสินใจระงับการดำเนินการของสำนักงานเพื่อการพัฒนาระหว่างประเทศ (USAID) ซึ่งกระทบต่อกลุ่มประชากรอพยพบริเวณชายแดนไทย-เมียนมา และการแบกรับภาระของหน่วยบริการและบุคลากรสุขภาพของไทย

ฉะนั้น หนึ่งในสาระสำคัญที่ในกรอบทิศทางนโยบายของประเด็นนี้ คือการคลังสุขภาพที่ยั่งยืนและพึ่งพาตนเองได้ ซึ่งจะเน้นการระดมทุนภายในประเทศเป็นหลักเพื่อให้มีงบประมาณที่เพียงพอและมีความยืดหยุ่น เช่น อาจจะมีการตั้ง "กองทุนความมั่นคงทางสุขภาพ" ที่บูรณาการทรัพยากรจากหลายภาคส่วน ทั้งงบประมาณภาครัฐ ภาษีเชิงยุทธศาสตร์ และการมีส่วนร่วมจากภาคเอกชนและประชาสังคม

นพ.ศุภกิจ กล่าวเพิ่มเติมว่า ส่วนตัวเห็นว่าหากรัฐลงทุนกับเรื่องนี้คงใช้งบประมาณไม่มากนักเพราะประชากรที่อาศัยอยู่ในศูนย์อพยพทั้ง 9 ศูนย์ มีจำนวนราว 1 แสนคน ซึ่งอยู่ในวิสัยที่โรงพยาบาลอำเภอในพื้นที่สามารถดูแลได้ เพียงแต่ต้องมีทรัพยากรเข้าไปส่งเสริมไม่ให้โรงพยาบาลขาดทุน หากประเทศไทยสามารถขับเคลื่อนเรื่องนี้ได้สำเร็จก็จะกลายเป็นภาพพจน์ที่ดีที่จะบอกแก่ผู้คนทั่วโลกว่าประเทศไทยเป็นที่พึ่งพิงให้ผู้คนที่ตกทุกข์ได้ยากโดยโรงพยาบาลในประเทศไม่เดือดร้อน

ด้าน นพ.ธวัชชัย ยิ่งทวีศักดิ์ ผอ.รพ.ท่าสองยาง อ.ท่าสองยาง จ.ตาก กล่าวว่า สนับสนุนการจัดตั้งกองทุนเพื่อเข้ามาช่วยเหลือสภาวะวิกฤติระบบสาธารณสุขชายแดน เพราะไม่เพียงแค่สวัสดิภาพชีวิตที่ดีของประชากรซึ่งอาศัยอยู่ในศูนย์อพยพเท่านั้น แต่ยังเป็นส่วนช่วยสำคัญในการเฝ้าระวังและป้องกันปัญหาโรคระบาดที่จะเข้ามายังประเทศไทยผ่านการให้ความช่วยเหลือเรื่องวัคซีน

ที่ผ่านมามักจะต้องใช้งบเงินบำรุงของทางโรงพยาบาลซึ่งมีอยู่อย่างจำกัดและไม่ค่อยเพียงพออยู่แล้ว เพราะการใช้งบตามระบบปกติอาจจะเกิดข้อจำกัดเรื่องความล่าช้า ไม่ทันต่อสถานการณ์ป้องกันควบคุมโรค

นพ.ศุภกิจ ศิริลักษณ์ ผู้อำนวยการสถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข

อีกหนึ่งแนวคิดที่สำคัญซึ่งถูกกำหนดไปในวาระกรอบทิศทางนโยบายดังกล่าว คือการนำร่องปลดล็อคให้บุคลากรข้ามชาติสามารถเข้ามาทำหน้าที่เป็นผู้ช่วยทูตฝ่ายสาธารณสุขในการดูแลสุขภาพให้กับประชาชนประเทศตนเองได้ รวมไปถึงการสนับสนุนโครงการทุนการศึกษาอย่างเป็นระบบต่อไปในอนาคต

สิ่งเหล่านี้นอกจากจะช่วยแบ่งเบาภาระบุคลากรทางการแพทย์ของไทยแล้วยังเป็นส่วนสำคัญในการยกระดับการดูแลสุขภาพที่ดีมากขึ้นเพราะความเข้าใจทางด้านภาษา วัฒนธรรม ของผู้ป่วยและผู้ดูแล
  ดร.สัมพันธ์ ศิลปนาฎ ประธานคณะกรรมการจัดสมัชชาสุขภาพแห่งชาติ

ดร.สัมพันธ์ ศิลปนาฎ ประธานคณะกรรมการจัดสมัชชาสุขภาพแห่งชาติ ครั้งที่ 17 -18 กล่าวว่า ในฐานะประธาน คจ.สช. ส่วนตัวรู้สึกพึงพอใจกับวาระนี้เป็นพิเศษ โดยเฉพาะกับถ้อยคำที่ระบุว่า "ความผันผวนทางภูมิรัฐศาสตร์" เพราะสังคมไทยเริ่มมองเห็นภาพเหล่านี้ชัดเจนมากขึ้นเรื่อยๆ นับตั้งแต่เหตุการณ์การแพร่ระบาด โควิด-19 เป็นต้นมาและมาจนถึงวันนี้ที่ความผันผวนดังกล่าวก็ยังดูมีทีท่าที่จะยกระดับความเข้มข้นมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นเรื่องสงครามที่ยังคงมีความคุกกรุ่นอยู่ในหลายๆ พื้นที่ รวมไปถึงเศรษฐกิจที่มีความแปลกแยก

สิ่งสำคัญที่อยากจะฝากไว้กับทุกคนก็คือการให้ความสำคัญกับเรื่องสุขภาพของประชาชน และจะต้องเป็นการมองอย่างเชิงรุก เราจะไม่รอการรักษาหรือรอให้เกิดการเจ็บป่วยแล้วเราค่อยลุกขึ้นมาทำ แต่เราจะต้องใช้การคาดการณ์จากข้อมูลจากเทคโนโลยีให้เกิดประโยชน์แล้วนำมาป้องกันสุขภาพให้กับประชาชนล่วงหน้า เพราะการมาแก้ไขปลายน้ำในเรื่องสุขภาพ ล้วนแต่ทำความเสียหายให้กับบุคคล ครอบครัว สังคม และประเทศ

นพ.สุเทพ เพชรมาก เลขาธิการคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ

ขณะที่ นพ.สุเทพ เพชรมาก เลขาธิการคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ กล่าวว่า ระบบสุขภาพเชิงรุกท่ามกลางความผันผวนทางภูมิรัฐศาสตร์ที่กำลังจะมีการเปิดเวทีรับฟังความคิดเห็นระดับประเทศ ถือเป็นกระบวนการที่มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการพัฒนาประเด็นและเรื่องนี้กำลังอยู่ในความสนใจของสังคม ไม่แพ้อีก 4 ประเด็นสำคัญ ไม่ว่าจะเป็นประเด็นการสร้างโอกาสในเศรษฐกิจสูงวัย

ประเด็นการขับเคลื่อนการเปลี่ยนผ่านพลังงานอย่างเป็นธรรมด้วยพลังงานแสงอาทิตย์ ประเด็นระบบบริหารจัดการเพื่อสุขภาวะในวิกฤตซ้อนวิกฤต และประเด็นกลไกขับเคลื่อนการพัฒนาที่ยั่งยืนระดับพื้นที่ ซึ่งจะเข้าไปสู่การนำเสนอในงานสมัชชาสุขภาพแห่งชาติ ครั้งที่ 18 ที่จะจัดขึ้นวันที่ 27-28 พ.ย. 68 ณ อาคารอิมแพ็ค ฟอรั่ม เมืองทองธานี จ.นนทบุรี