KEY
POINTS
7 ตุลาคม 2568 นายพัฒนา พร้อมพัฒน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เปิดเผยว่า ในการประชุมคณะกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ เมื่อวันที่ 6 ตุลาคมที่ผ่านมานั้น ที่ประชุมฯ ได้พิจารณาเห็นชอบในเรื่องข้อเสนอของบกลางประมาณ 8,000 ล้านบาทซึ่งเป็นงบที่จะจ่ายให้กับหน่วยบริการผ่านทางสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) เพื่อให้เป็นทุนหมุนเวียนในการให้บริการกับประชาชนซึ่งมีงบเรื่องฟอกไตด้วย
ทั้งนี้ เรื่องการฟอกไตนั้นเป็นไปตามบัญชานายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี โดยจะฟอกไตทุกแห่งฟรีทั้งหมดและเข้มงวดเรื่องการวินิจฉัยและให้สิทธิคนไข้พิจารณาการรักษา ไม่ว่าจะเป็นวิธีการทางช่องท้อง หรือ PD (Peritoneal Dialysis) หรือวิธีการฟอกเลือดด้วยเครื่องไตเทียม (Hemodialysis; HD)
รวมถึงการปลูกถ่ายเปลี่ยนอวัยวะซึ่งได้มีการหารือกับทีมสาธารณสุขว่า การฟอกไตเป็นการยืดอายุสำหรับคนรอเปลี่ยนถ่ายหรือปลูกถ่ายไตนโยบายตรงกันว่า ต้องมีการขยายผลการเปลี่ยนถ่ายไตด้วย โดยปีนี้จะต้องทำเพิ่มให้ได้ 2-3 เท่าของปีที่แล้ว
"เรื่องการเปลี่ยนถ่ายไตก็ต้องมาหารือกันถึงการเดินหน้าในการสร้างความรู้ความเข้าใจ และกระตุ้นให้ผู้บริจาคมีความเข้าใจและหันมาบริจาคเพิ่มขึ้น โดยอาจต้องมีการหาแรงจูงใจต่างๆ เพื่อจัดการปัญหาเบ็ดเสร็จเด็ดขาด ซึ่งย้ำว่า การฟอกไตเป็นเรื่องหนึ่ง แต่การหายขาด คือ ต้องปลูกถ่ายไต" นายพัฒนา รมว.สาธารณสุข กล่าว
ส่วนกรณีเครือข่ายหน่วยบริการ Provider ขอเข้าหารือ รมว.สธ.ในฐานะประธานบอร์ดสปสช. เพื่อขอความช่วยเหลือปัญหางบบัตรทอง รพ.ขาดสภาพคล่องทางการเงินนั้น นายพัฒนา กล่าวว่า ไม่เคยปิดการเจรจาใด ๆ ซึ่งหากเป็นการพูดคุยกันแล้ว มีความสร้างสรรค์ มีมุมมองในการแก้ปัญหาก็ยินดี
อย่างไรก็ดี เรื่องการขาดสภาพคล่องของรพ.นั้น นายพัฒนา กล่าวว่า จากข้อมูลของปลัดสธ.เรื่องระบบโครงสร้างของโรงพยาบาลนั้นมีรายละเอียดเกี่ยวกับการเพิ่มรายได้ของโรงพยาบาลหลายทางซึ่งจากภาพรวมยังมีความแข็งแรงและให้บริการได้อย่างดีเพียงแต่การจัดสรรงบประมาณช้าเร็ว หนักเบา ทางปลัดสธ.เตรียมจัดการให้ ไม่ต้องห่วง ส่วนเรื่องงบประมาณก็จะพยายามหาแหล่งรายได้อื่น ๆ ที่ไม่เป็นภาระกับคนไข้เพื่อยกระดับการให้บริการอัปเกรดยิ่งขึ้น
ด้าน นพ.สมฤกษ์ จึงสมาน ปลัดกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า เรื่องการรักษาฟอกไตมีทั้งการฟอกไตทางหน้าท้อง ฟอกเลือด และการปลูกถ่ายไตใหม่ซึ่งคนไข้เกือบ 1 แสนคน เป็นฟอกไตทางเลือดประมาณ 8 หมื่นกว่าคน ส่วนฟอกไตทางหน้าท้องประมาณ 1 หมื่นคน
ทั้งหมดจากนโยบายนายกฯ คือ การฟอกไตฟรีทุกคนฟรีทุกแห่ง และ สธ.จะร่วมกับ สปสช.ในการให้ข้อมูลเรื่องนี้ รวมถึงสถานพยาบาลไหน มีการเก็บเงินค่าบริการจะลงตรวจสอบ และมีมาตรการทางกฎหมาย ซึ่งส่วนใหญ่สถานพยาบาลเก็บเงินจะเป็นภาคเอกชน
"เรื่องการเปลี่ยนถ่ายไตนั้น จะมีการประชุมกันเพื่อจัดระบบใหม่ ให้มีการเปลี่ยนถ่ายไตมากขึ้น จากเดิมปีละประมาณ 900 คนทั้งประเทศ โดยกทม.มากที่สุด 600 คน นอกนั้นภูมิภาคอีก 300 คน ซึ่งท่านรัฐมนตรีให้เป้าหมายว่า ขยับเป็น 3,000-5,000 คนในช่วง 2-3 ปีข้างหน้าได้หรือไม่ซึ่งจะเป็นอานิสงค์มากสำหรับคนไข้ โดยความชัดเจนเรื่องนี้จะเกิดขึ้นใน 1-2 เดือนข้างหน้า และจะให้เป็นของขวัญปีใหม่ว่า ทำได้มากขึ้น" นพ.สมฤกษ์ กล่าว
เมื่อถามว่าการฟอกไตทุกแห่ง ไม่ใช่ทุกที่ ใช่หรือไม่ นพ.สมฤกษ์ กล่าวว่า ใช่ เนื่องจากถ้าทุกที่จะทำให้เข้าใจว่าไปที่ไหนก็ได้แต่การบริการฟอกไตจำเป็นต้องมีความพร้อม ทั้งสถานที่ บุคลากร เครื่องมือเครื่องไม้ ต้องมีมาตรฐาน
จึงต้องใช้คำว่า "ทุกแห่ง แต่ต้องครอบคลุมการเดินทางของประชาชน" ซึ่งเรื่องนี้ครอบคลุมเกือบหมดแล้วตั้งแต่สมัยนายกฯ เป็น รมว.สาธารณสุข เพียงแต่บางที่ห่างไกลจริง ๆ คนไข้ไม่เยอะ ก็จะใช้โลจิสติกส์ คนไข้เข้ามารับบริการ ซึ่งการเข้าถึงนั้น ถือว่าครอบคลุม ตอนนี้เน้นคุณภาพเพิ่มยิ่งขึ้นและต้องไม่เก็บเงิน โดยจะมีมาตรการทางกฎหมายออกมาภายใน 1-2 สัปดาห์นี้
ทั้งนี้ จะมีทีมในการวินิจฉัยและอธิบายการรักษาแต่ละวิธีว่า แบบไหนเหมาะสมกับคนไข้ ซึ่งเราต้องสร้างความเข้าใจกับคนไข้ก่อนเป็นสำคัญ อย่างการฟอกเลือด ต้องมา 3 ครั้ง/สัปดาห์ ถ้ามาเพียง 1-2 ครั้งถือว่า ไม่มีคุณภาพ สิ่งต่าง ๆ ต้องนำมาประเมินหมด ส่วนการฟอกไตทางหน้าท้องต้องได้รับข้อมูลทั้งหมดและให้คนไข้ตัดสินใจ
ต่อข้อซักถามว่า ที่ประชุมบอร์ดสปสช. มีพูดถึงค่าเดินทางของคนไข้ในการฟอกเลือดหรือไม่นั้น นพ.สมฤกษ์ กล่าวว่า ที่ประชุมเน้นเรื่องการบริการที่ไม่เก็บค่ารักษาและเรื่องมาตรการทางกฎหมายหน่วยบริการที่เก็บเงิน รวมถึงการันตีเรื่องคุณภาพมาตรฐานไม่ว่าวิธีใด ส่วนค่าเดินทางยังไม่ได้มีการหารือกัน