KEY
POINTS
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในการประชุมคณะกรรมการพัฒนานโยบายสาธารณะว่าด้วยการสานพลังสร้างสภาวะแวดล้อมทางกายภาพและสังคมเพื่อลดโรคไม่ติดต่อ 1/2568 โดยสำนักงานคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ (สช.) ที่มี นพ.โสภณ เมฆธน เป็นประธานได้หารือความคืบหน้าและแนวทางในการลดโรคไม่ติดต่อ (NCDs) ตามมติสมัชชาสุขภาพเฉพาะประเด็นฯ ที่มุ่งสร้างความร่วมมือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และนํามติไปขับเคลื่อนในระดับพื้นที่ ภายใต้แผนปฏิบัติการขับเคลื่อนนโยบายเพื่อส่งเสริมการสร้างสภาวะแวดล้อมทางกายภาพและทางสังคมเพื่อลดโรคไม่ติดต่อ หรือ NCDs Ecosystem
นพ.โสภณ เปิดเผยว่า ปัจจัยของการลดโรค NCDs ต้องมุ่งความสำคัญในสองเรื่อง ได้แก่ การลดน้ำหนักควบคู่กับการออกกำลังกาย เรื่องนี้สามารถขับเคลื่อนได้ทั้งสองระดับ คือ ในระดับนโยบายส่วนกลาง ที่ต้องแสวงหามาตรการหรือนวัตกรรมเข้ามาช่วยสร้างการเปลี่ยนแปลงในภาพกว้าง
อีกส่วน คือ การขับเคลื่อนในระดับพื้นที่ ไม่ว่าจะเป็นในระดับท้องถิ่น หน่วยงาน องค์กร หรือชุมชน ที่จะนำเครื่องมือหรือนวัตกรรมที่เกิดขึ้นไปประยุกต์ใช้ได้อย่างเหมาะสมสอดคล้องกับบริบทของแต่ละแห่ง
ในระดับนโยบายตัวอย่างเช่น หากปัจจุบันมีการพูดถึงมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจด้วยโครงการคนละครึ่ง เราจะนำมากระตุ้นการออกกำลังกายด้วยได้หรือไม่ เมื่อประชาชนไปสมัครฟิตเนสแล้วรัฐช่วยออกให้อีกส่วนแบบนี้เป็นต้น ซึ่งบางองค์กรเอกชนก็มีการทำในลักษณะนี้ หรือ "หวยเกษียณ" ที่เป็นการออมเงินและลุ้นรางวัล ถ้าเอามาใช้กับกิจกรรมทางกายภาพ เดินออกกำลังกายสะสมเป็นแคลอรีเครดิตแล้วมาลุ้นรางวัลได้ เหล่านี้คือกลไกที่สามารถออกแบบมาใช้เป็นเครื่องมือในการสร้างสภาวะแวดล้อมเพื่อลดโรค NCDs
สำหรับแผน NCDs Ecosystem มีกรอบทิศทางนโยบายในการใช้มาตรการ 3:5:5 เพื่อลดโรค NCDs ประกอบด้วย "3 กลไกสร้างแรงจูงใจ" 1. เศรษฐศาสตร์พฤติกรรม 2. กลไกการคลัง 3. เครดิตทางสังคม ร่วมกับ "5 มาตรการหลัก" 1. จัดระเบียบ ลดการเข้าถึงสินค้าทำลายสุขภาพ 2. ส่งเสริมการผลิตและเข้าถึงสินค้าดีต่อสุขภาพ 3. สร้างสิ่งแวดล้อมเอื้อต่อสุขภาพ 4. สื่อสาร-จำกัดการโฆษณา ส่งเสริมความรอบรู้สุขภาพ 5. สร้างประสบการณ์ พัฒนาศักยภาพคน ภายใต้ "5 ระบบและกลไกหนุนเสริม" 1. เครื่องมือนโยบาย มาตรฐาน 2. นวัตกรรม โมเดล การขยายผลเชิงระบบ 3. ระบบเฝ้าระวัง บังคับใช้กฎหมาย 4. ระบบกำกับ ติดตาม ประเมินผล 5. ระบบบริหาร ตัดสินใจ และสนับสนุนการลงทุน
ขณะเดียวกันในระดับพื้นที่เองก็สามารถดำเนินเป็นนโยบายของท้องถิ่น ตัวอย่างเช่นกรุงเทพมหานคร (กทม.) ที่ใช้กลไกภาษีที่ดินกระตุ้นให้ภาคเอกชนนำที่ดินเปล่ารกร้างมาให้ กทม. ทำสวน 15 นาที เป็นการปรับสภาพแวดล้อมที่ช่วยกระตุ้นกิจกรรมทางกาย (Physical Activity: PA) หรือบางจังหวัดนำเครื่องมือ Calories Credit Challenge (CCC) ของกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ไปสร้างแรงจูงใจให้คนออกกำลังกาย เป็นต้น
นอกจากนี้อีกส่วนสำคัญคือพัฒนาระบบฐานข้อมูล Big Data รวมถึงระบบการกำกับ ติดตาม ประเมินผล เพื่อที่จะสามารถชี้วัดการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมทางสุขภาพของประชาชนได้
"สำหรับรัฐบาลใหม่นายกฯ เองก็เคยเป็น รมว.สาธารณสุข เชื่อว่าท่านรู้ว่าคุณภาพชีวิตและสุขภาพของประชาชนเป็นสิ่งสำคัญ มาตรการอะไรที่ดีและตรงกับนโยบายของท่านก็น่าจะถูกดึงไปขับเคลื่อนได้ในเร็ววันซึ่งก็ต้องรอติดตามกันต่อไปแต่ความจริงแล้วเราก็ไม่จำเป็นที่จะต้องรอให้มีนโยบายระดับประเทศออกมาเท่านั้น เพราะในระดับจังหวัด องค์กร ชุมชน ล้วนสามารถเดินหน้าทำในภาพของแต่ละแห่งไปได้เลย มีอะไรเป็นนวัตกรรม รูปแบบการขับเคลื่อนที่ดี ก็สามารถนำมาแลกเปลี่ยนเรียนรู้และขยายไปด้วยกัน" นพ.โสภณ กล่าว
นอกจากนี้ยังมีความคืบหน้าของการดำเนินงานขับเคลื่อน “NCDs Ecosystem” และมาตรการ 3:5:5 ใน 8 จังหวัดนำร่อง ได้แก่ น่าน ชัยนาท ตราด กาญจนบุรี มหาสารคาม หนองบัวลำภู สุราษฎร์ธานี และยะลา ซึ่งพบว่า แต่ละแห่งมีกิจกรรมเด่นๆ เช่น การปรับพฤติกรรมด้านอาหาร ขยายกิจกรรมสุขภาพสู่โรงเรียนและชุมชน, โครงการตื่นเค็ม ลดเค็มในบ้าน วัด ร้านค้า, โครงการเต้นแลกแต้ม 21 วัน ฯลฯ โดยจากการถอดบทเรียนพบว่าการแก้ไขปัญหา NCDs ต้องไม่หยุดที่การรณรงค์พฤติกรรมรายบุคคล แต่ต้องสร้างสภาพแวดล้อม นโยบายรวมถึงระบบสนับสนุน