11 กันยายน 2568 นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เป็นประธานพิธีเปิดประชุมวิชาการกระทรวงสาธารณสุข 2568 และบรรยายพิเศษ โดยมีนายเกียรติศักดิ์ ตรงศิริ ผู้ว่าราชการจังหวัดนนทบุรี นพ.โอภาส การย์กวินพงศ์ ปลัดกระทรวงสาธารณสุข ผู้บริหาร และบุคลากรกระทรวงสาธารณสุข เข้าร่วม grand diamond ballroom ชั้น 2 อาคารอิมแพ็ค ฟอรั่ม เมืองทองธานี
นายสมศักดิ์ กล่าวว่า การดำเนินงานของกระทรวงสาธารณสุขในช่วงกว่า 500 วันที่ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขนั้นได้รับการสนับสนุนอย่างดีจากบุคลากรกระทรวงสาธารณสุข ทำให้ระบบสุขภาพมีพัฒนาการมากมาย ทั้งนี้เพื่อส่งต่อเรื่องราวที่เชื่อว่าหากสามารถเอาไปดำเนินการต่อได้จะเป็นการวางรากฐาน สร้างอนาคตระบบสุขภาพไทยให้ยั่งยืนได้อย่างแน่นอนโดยตนมองเห็นว่า 5 มิติสำคัญเป็นสิ่งที่กระทรวงสาธารณสุขจะเอาไปทำต่อได้จริงและเกิดผลลัพธ์มหาศาลได้ในระยะเวลาอันสั้น
เรื่องแรก 'นับคาร์บ' ปัจจุบันคนไทยเรียนรู้การนับคาร์บแล้ว 42 ล้านคน มีผู้หายป่วยแล้ว 30,300 คน ลดค่าใช้จ่ายจากการหยุดยาและลดยาได้ 820 ล้านบาท ยังเชื่อมั่นตั้งแต่วันแรกจนถึงวันนี้ว่า การส่งเสริมป้องกัน คือ หัวใจสำคัญของระบบสาธารณสุขไทย ต้องขอขอบคุณบุคลากรทุกคนที่ช่วยกันผลักดันจนโครงการนี้เป็นที่รู้จักของคนไทยทั้งประเทศหวังว่า จะนับคาร์บกันต่อจนครบ 50 ล้านคน จนครบตามที่ตั้งใจไว้ตั้งแต่แรก และเมื่อสำเร็จแล้วจะสามารถขยายไปยังกลุ่มวัยเรียน วัยรุ่น รวมถึงต่อยอดไปเป็นนโยบายที่ช่วยลด NCDs ต่างๆ ได้อีกมากมาย อย่าลืม 'กินเป็น ไม่ป่วย สวยหล่ออายุยืน' ซึ่งสังเกตเห็นได้ชัดเลยว่า คนกระทรวงสาธารณสุขสวยหล่อขึ้นทุกคน
ด้านที่สอง 'ดิจิทัล เฮ้ลท์' ขอฝากช่วยกันพัฒนาระบบ Telemedicine ของกระทรวงสาธารณสุขต่อไป รวมถึง Mini Clinic Telemedicine ด้วย เชื่อว่าเทคโนโลยีนี้ จะลดการเหลื่อมล้ำการเข้าถึงบริการได้มหาศาลช่วยกันหาแหล่งงบสนับสนุน และขยายบริการในพื้นที่จริงกันให้มากขึ้น อีกเรื่องสำคัญ คือ การพัฒนาระบบข้อมูลของกระทรวงสาธารณสุขอยากฝากให้ทุกหน่วยงานมาคุยกัน เปิดใจในการเชื่อมข้อมูลเข้าหากัน ผ่านแพลตฟอร์มกลาง เพราะทุกคนไม่ได้เป็นเจ้าของข้อมูลนี้ คนที่เป็นเจ้าของข้อมูลที่แท้จริง คือ ประชาชน ทำได้เลย เริ่มได้ทันที แล้วระบบดิจิทัลสุขภาพไทยจะเป็นหนึ่งเดียวกัน
ด้านที่สาม เป็นเรื่องเชิงนโยบาย มี 3 เรื่อง ที่อยากส่งต่อ เรื่องแรก เรื่องแรงงานต่างด้าว ขอฝากเรื่องการใช้ Biometric เพื่อยืนยันตัวตนของแรงงานต่างด้าว และให้เข้าสู่ระบบประกันสุขภาพที่เหมาะสมซึ่งจะช่วยให้กระทรวงสาธารณสุขไม่ขาดทุนมีหลายที่ดำเนินการนำร่องไปแล้ว อยากชวนให้ทุกที่ ที่ต้องดูแลแรงงานต่างด้าว ช่วยดำเนินการกันอย่างครบถ้วน
เรื่องถัดมา คือ การแบ่งส่วนราชการของ กรมการแพทย์และกรมสุขภาพจิต ทราบว่าใกล้ประสบความสำเร็จแล้ว ดีใจที่จะได้มีการบูรณาการงานเรื่องสุขภาพจิตและยาเสพติดเข้าเป็นเนื้อเดียวกันเพราะทั้งสองปัญหานี้ คือปัญหาที่จะส่งผลกระทบต่อสังคมในอนาคตสูงสุด เรื่องที่สาม คือ การทำงานเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันกับหน่วยงานที่อยู่ในระบบสุขภาพของประเทศไทย อยากฝากให้แต่ละหน่วยงานของ สธ. ทำงานร่วมกับหน่วยงาน เช่น สปสช. สสส. สช. สวรส. แบบใกล้ชิดกันมากขึ้น จับมือร่วมกันทำงานตั้งแต่ระดับนโยบาย ไปจนถึงการแบ่งปันความรู้และทรัพยากรที่แต่ละหน่วยงานมี เชื่อว่าเราจะทำงานได้อย่างสนุกมากขึ้น และได้ผลลัพธ์มากขึ้นกว่าเดิม
สำหรับด้านที่สี่ เป็นด้านการบริหารจัดการ อยากฝากเรื่อง PPP เพื่อให้เกิดการลงทุนร่วมกันจะช่วยให้ขยายบริการด้านสาธารณสุขได้เพิ่มขึ้นอีกมากมายแต่การดำเนินงานบางครั้งอาจไม่ได้เชี่ยวชาญไปทุกเรื่อง อย่าลืมหาที่ปรึกษาที่มีประสบการณ์เข้ามาช่วยขับเคลื่อนโครงการต่าง ๆ ด้วย รวมถึงเรื่องระบบบำบัดน้ำเสียที่ควรจะต้องเดินหน้าให้ครบ 100% และเรื่องเงินกู้ ADB ที่เป็นอีกแหล่งงบประมาณภายนอกที่สามารถช่วยสนับสนุนงานได้ อยากให้ช่วยกันวางแผนระยะยาวและดำเนินการอย่างต่อเนื่อง
ด้านที่ห้า เศรษฐกิจสุขภาพ ซึ่งเชื่อเสมอว่ากระทรวงสาธารณสุขมีอีกบทบาท นั่นคือ การขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศไทยอย่างยั่งยืน ทั้งพืชกระท่อม และกัญชาทางการแพทย์ เป็นสิ่งที่ผลักดันมาตลอด ต้องทำให้พืชเหล่านี้มีประโยชน์ต่อเศรษฐกิจชาติ ขณะเดียวกันคนไทยต้องปลอดภัยจากการใช้งานที่ไม่ถูกต้องด้วย
ขอฝากเรื่องการแพทย์แผนไทย นวดไทย และสมุนไพรไทยต่อด้วย อย่าลืมว่า "เจ็บป่วยคราใด คิดถึงยาไทย ก่อนไปหาหมอ" รวมทั้ง ATMP ซึ่งเชื่อมั่นว่า จะเป็นตัวขับเคลื่อนเศรษฐกิจแห่งอนาคต อยากฝากให้ต่อยอดจาก Sandbox ที่กำลังทำอยู่ ให้เกิดศูนย์นวัตกรรมเพื่อการบำบัดขั้นสูง ดึงดูดนักวิจัย และสร้างการลงทุนร่วมกับภาคเอกชนครับ
"นี่คือทั้งหมดของแนวทางที่ผมอยากฝากไว้ในมือของพวกท่านทุกคน ต้องขอขอบคุณคณะทำงานขับเคลื่อนนโยบายที่ช่วยกับคิดและวางแผนสิ่งนี้ร่วมกัน นำโดย นพ.สมฤกษ์ รองอธิบดี สสจ. และผู้อำนวยการ รวมกว่า 50 ชีวิต ทำงานตลอด 3 เดือนที่ผ่านมา ก็หวังว่า นอกจากช่วยกันคิดแล้ว ก็ช่วยกันทำต่อด้วย
500 กว่าวันที่ผ่านมา เป็นช่วงเวลาที่มีความสุขอย่างยิ่ง รู้สึกอยากมาทำงานทุกวันเพราะได้ร่วมงานกับคนเก่ง คนดีและคนที่ทุ่มเทหัวใจเพื่อประชาชน ขอขอบคุณจากใจจริงสำหรับความร่วมมือ การสนับสนุนและมิตรภาพที่ทุกท่านมอบให้ตลอดมา ผมจะเก็บความทรงจำอันล้ำค่าเหล่านี้ไว้เสมอ ผมขออวยพรให้ทุกท่านประสบแต่ความสุขความเจริญ และขอฝากให้ทุกท่านช่วยกันดูแลบ้านหลังนี้ให้แข็งแกร่งและเป็นที่พึ่งของประชาชนสืบไป" นายสมศักดิ์กล่าว
ภายหลังกล่าวจบนายสมศักดิ์ได้ถ่ายภาพร่วมกับผู้บริหารและบุคลากรของกระทรวง จากนั้นได้เดินลงเวทีและรับดอกไม้ที่บุคลากรนำมามอบให้กำลังใจ
นอกจากนี้นายสมศักดิ์ ให้สัมภาษณ์ภายหลังเปิดประชุมฯ ย้ำถึงเรื่องที่อยากฝากถึงว่าที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขคนใหม่ว่า การป้องกันโรค การนับคาร์บ เป็นเรื่องที่สำคัญที่สุดซึ่งต้องยอมรับว่าคนป่วย โดยเฉพาะผู้ป่วยนอกที่ใช้ 30 บาทรักษาทุกที่เมื่อปี 2567 มีจำนวน 220 ล้านครั้งต่อปี
เป็นโรคที่เกิดจากการ "กินไม่เป็น" หรือบริโภคคาร์โบไฮเดรตมากจนเกินไปถึง 167.5 ล้านครั้ง หรือเป็น 3 ใน 4 ส่วนของผู้ป่วยนอก ดังนั้น การให้ความรู้ผ่านอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน (อสม.) และอาสาสมัครสาธารณสุขกรุงเทพมหานคร (อสส.) ซึ่งพยายามดำเนินการไป 50 เวที โดยทำในกรุงเทพฯ ทั้งหมดแล้ว