สภาผู้บริโภคชง 2 มาตรการแก้ปัญหา “บัตรทอง” เพิ่มการเข้าถึง-ลดความเหลื่อมล้ำ

02 ก.ค. 2568 | 19:50 น.

สภาผู้บริโภคชง 2 มาตรการแก้ปัญหา “บัตรทอง” เสนอการพัฒนาบริการสุขภาพให้เป็นมาตรฐานเดียวทุกกองทุน พร้อมแก้ไขปัญหาคอขวดและยกระดับสิทธิการเข้าถึงบริการสุขภาพที่ยั่งยืน

กองทุนหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ หรือ บัตรทอง ถือเป็นหนึ่งในกลไกสำคัญที่ขับเคลื่อนหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า รากฐานสำคัญที่ทำให้คนไทยเข้าถึงการรักษาพยาบาลยามเจ็บป่วย โดยไม่ต้องกังวลเรื่องค่าใช้จ่าย ซึ่งบัตรทองได้พิสูจน์แล้วว่าเป็นเสาหลักที่ช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตของผู้คนจำนวนมาก หลายชีวิตรอดพ้นจากโรคร้ายแรง และสามารถกลับมาใช้ชีวิตได้อย่างปกติได้เพราะมีบัตรทอง

แต่ระบบบัตรทองยังคงมีปัญหาและความท้าทาย ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของความแออัดในสถานพยาบาล การรอคอยที่ยาวนาน การเข้าถึงบริการเฉพาะทางที่อาจไม่ราบรื่น หรือภาระงานของบุคลากรทางการแพทย์ ปัญหาเหล่านี้เป็นสิ่งที่ต้องได้รับการแก้ไขอย่างเร่งด่วนและต่อเนื่อง

จากข้อมูลสิทธิหลักประกันสุขภาพ ในประเทศไทย พบว่า จำนวนประชากรที่มีสิทธิหลักประกันสุขภาพ 67 ล้านคน เป็นสิทธิบัตรทอง 47 ล้านคน หากเกิดสถานการณ์กองทุนนี้ล่มสลาย หรือไม่สามารถดำเนินต่อไปได้ จะเกิดผลกระทบร้ายแรงต่อประชาชนโดยตรงถึง 47 ล้านคน

สภาผู้บริโภคชง 2 มาตรการแก้ปัญหา “บัตรทอง” เพิ่มการเข้าถึง-ลดความเหลื่อมล้ำ

ผลกระทบที่ร้ายแรงที่สุด คือ หมดสิทธิเข้าถึงการรักษาพยาบาลฟรี ผู้คนนับสิบล้านคนที่เคยใช้สิทธิบัตรทองจะต้อง จ่ายค่ารักษาพยาบาลเองทั้งหมด ตั้งแต่ค่าพบแพทย์ ค่ายา ค่าผ่าตัด ซึ่งสำหรับหลาย ๆ คนแล้ว ค่าใช้จ่ายเหล่านี้อาจสูงเกินกว่าที่จะรับไหว ทำให้ต้องเลือกระหว่างการรักษาตัวกับการดำรงชีวิต

อีกทั้ง ค่าใช้จ่ายเมื่อเจ็บป่วยหนักหรือเป็นโรคเรื้อรัง อาจพุ่งสูงถึงหลักแสนหรือหลักล้านบาท ทำให้หลายครัวเรือนอาจเกิดภาระหนี้สิน เพื่อนำเงินมารักษาตัว และการไม่มีบัตรทองจะยิ่งตอกย้ำถึงความเหลื่อมล้ำการเข้าถึงบริการสุขภาพ

ขณะที่ปัญหาสาธารณสุขในภาพรวม เมื่อประชาชนไม่ได้รับการตรวจรักษาโรคติดเชื้อตั้งแต่เนิ่น ๆ หรือไม่สามารถเข้าถึงยาได้ การควบคุมโรคติดต่อในชุมชนก็จะทำได้ยากขึ้น อาจเกิด การแพร่ระบาดของโรค ที่รุนแรงกว่าเดิม ส่งผลกระทบต่อสุขภาพของคนทั้งประเทศ

สภาผู้บริโภคชง 2 มาตรการแก้ปัญหา “บัตรทอง” เพิ่มการเข้าถึง-ลดความเหลื่อมล้ำ

“สุภาพร ถิ่นวัฒนากูล” รองเลขาธิการสำนักงานสภาผู้บริโภค กล่าวว่า สิทธิการเข้าถึงบริการสุขภาพควรมี มาตรฐานเดียวทุกกองทุน โดยเสนอให้ใช้กลไกตามมาตรา 5 ของ พ.ร.บ.หลักประกันสุขภาพแห่งชาติ พ.ศ. 2545 ซึ่งระบุให้ประชาชนทุกคนได้รับบริการสุขภาพตามมาตรฐานเดียวกัน แม้จะอยู่ภายใต้กองทุนต่างกัน เช่น บัตรทอง หรือประกันสังคม

“ประชาชนไม่ควรถูกจำกัดด้วยคำว่า ‘บัตรทอง’ หรือ ‘ประกันสังคม’ แต่ต้องได้รับการดูแลโดยใช้ ‘บัตรประชาชนใบเดียว’ กองทุนสุขภาพไม่จำเป็นต้องรวมกัน แต่ต้องมีมาตรฐานเดียวกันและไม่ซ้ำซ้อน”

แม้งบประมาณจะเป็นประเด็นสำคัญ แต่สุภาพรเน้นย้ำว่า รัฐควรพิจารณาจัดสรรโดยมองภาพรวมของทั้ง 3 ระบบหลัก เพื่อให้เกิดความเท่าเทียมด้านคุณภาพบริการอย่างแท้จริง

มาตรการเพื่อการเข้าถึงบริการสุขภาพอย่างยั่งยืน

การแก้ไขปัญหาเร่งด่วนและการพัฒนาอย่างยั่งยืน

มาตรการระยะเร่งด่วน สภาผู้บริโภคเสนอให้แก้ไขปัญหาคอขวดที่บั่นทอนประสิทธิภาพของบัตรทอง เริ่มจาก การปรับปรุงระบบคลินิกปฐมภูมิ โดยเร่งรัดให้ สปสช. ร่วมกับหน่วยบริการและคลินิกชุมชนอบอุ่น กำหนดกติกาการส่งต่อผู้ป่วยให้ชัดเจน พร้อมออกแบบระบบการจ่ายเงินที่เหมาะสมและเป็นธรรม เพื่อสร้างความเชื่อมั่นและคุณภาพบริการแก่ประชาชน

รวมทั้งเน้นย้ำถึงความสำคัญของการ สื่อสารนโยบาย 30 บาทรักษาทุกที่ ให้ชัดเจนและตรงจุด โดยเฉพาะในกรุงเทพมหานคร ควรแจ้งสถานที่ที่ประชาชนสามารถรับบริการได้ เช่น ร้านขายยา คลินิกทันตกรรม หรือคลินิกกายภาพบำบัด เพื่อลดความสับสนและช่วยกระจายผู้ป่วย ลดความแออัดในโรงพยาบาล

มาตรการระยะยาว สภาผู้บริโภคมุ่งเน้นการเสริมสร้างความเข้มแข็งของระบบสาธารณสุข และการขยายความร่วมมือเพื่อเพิ่มทางเลือกให้ประชาชน ประการแรกคือ การพัฒนาและยกระดับศักยภาพของศูนย์บริการสาธารณสุข ให้เทียบเท่ากับโรงพยาบาลชุมชน สามารถรับขึ้นทะเบียนสิทธิบัตรทองได้อย่างน้อย 50,000 คน และให้คลินิกชุมชนอบอุ่นทำหน้าที่เป็นเครือข่ายบริการปฐมภูมิที่แข็งแกร่ง

การส่งเสริมความร่วมมือกับโรงพยาบาลเอกชนในกรุงเทพมหานคร โดยไม่จำกัดเพียงการรักษาฉุกเฉินวิกฤต แต่ขยายขอบเขตการรับส่งต่อผู้ป่วยเฉพาะทางและกรณีอื่นๆ ด้วย เพื่อเพิ่มช่องทางในการเข้าถึงการรักษา ลดระยะเวลารอคอย และลดความแออัดในหน่วยบริการสาธารณสุขของรัฐ

อย่างไรก็ตาม หัวใจสำคัญที่สภาผู้บริโภคยังคงยึดมั่นและผลักดันมาโดยตลอด คือการยกระดับ “สิทธิบริการสุขภาพให้เป็นมาตรฐานเดียวในทุกกองทุน” เพื่อให้ประชาชนทุกคนเข้าถึงการดูแลสุขภาพได้อย่างเป็นธรรมและมีคุณภาพโดยปราศจากความเหลื่อมล้ำ