สภาผู้บริโภคพบ 11 โครงการอาคารสูง กทม. เข้าข่ายผิดก.ม. ไม่ตรงปก

14 มิ.ย. 2568 | 10:38 น.
อัปเดตล่าสุด :14 มิ.ย. 2568 | 11:11 น.

สภาผู้บริโภคพบ 11 โครงการอาคารสูง ก่อสร้างเข้าข่ายผิดกฎหมาย ถนนกว้างไม่ถึง 6 เมตร ซอยพื้นที่ก่อสร้างตึก ทำผู้อาศัย-ชุมชนโดยรอบเสี่ยงไม่ปลอดภัย ค้านแก้กฎเอื้อเอกชน

สภาผู้บริโภคเปิดผลสำรวจอาคารก่อสร้างเข้าข่ายผิดกฎหมายในกรุงเทพมหานคร(กทม.) หลังจากได้รับเรื่องร้องเรียนจาก 11 ชุมชน พบอาคารที่ก่อสร้างเข้าข่ายผิดกฎกระทรวงฉบับที่ 33 โดยมีเครือข่ายผู้บริโภค หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมรับฟัง 

นายพรพรหม โอกุชิ ผู้ช่วยเลขานุการคณะอนุกรรมการด้านอสังหาริมทรัพย์และที่อยู่อาศัย สภาของผู้บริโภค กล่าวว่า สภาผู้บริโภคตรวจสอบกรณีมีชาวบ้านมาร้องเรียน ว่า มีอาคารที่ก่อสร้างเข้าข่ายผิดกฎหมายจำนวนหลายอาคาร อาคารบางส่วนในแบบโฆษณาไม่ตรงกับแบบก่อสร้างที่ยื่นขออนุญาต หรือแบบ EIA ไม่มีถนนในระยะห่าง 6 เมตร รอบอาคาร  

เช่น บางพื้นที่นำเอาพื้นที่รอบอาคารเป็น ที่ชาร์จไฟ รถ EV, หรือปลูกต้นไม้ ทำบ่อน้ำ, พื้นที่ออกกำลังกาย สนามแบดมินตัน สนามเทนนิส ตั้งโต๊ะร้านกาแฟ ซึ่งล้วนแต่ผิดกฎหมาย และไม่ปลอดภัย เนื่องจากทำให้รถดับเพลิงเข้าออกพื้นที่รอบอาคารไม่ได้ 

หลังจากมีบทเรียนการเกิดเหตุการณ์แผ่นดินไหว เมื่อวันที่ 28 มีนาคมที่ผ่านมา จะเห็นว่า หากมีการก่อสร้างถูกตามกฎหมายก็จะสามารถช่วยลดความเสี่ยงของผู้พักอยู่อาศัย ที่จะได้รับอันตรายเมื่อเกิดอัคคีภัยหรือภัยพิบัติต่างๆ ขึ้น 

“นอกจากนี้ ยังมีปัญหาเรื่องการเลี่ยงกฎหมายของผู้ประกอบการ ที่กำหนดพื้นที่ของอาคาร 10,000 ตารางเมตร ถึง 30,000 ตารางเมตร จะต้องมีขนาดความกว้างของถนนโดยรอบอาคาร 6-10 เมตร ผู้ประกอบการจะใช้วิธีการ ซอยตึก ออกเป็น 3 หรือ 5 ตึก สร้างอยู่ในพื้นที่เดียวกัน ซึ่งจะทำให้สามารถสร้างได้ ตามกฎกระทรวงฉบับที่ 55 ไม่ต้องถูกบังคับ เรื่อง ถนนกว้าง 6-10 เมตร ตามกฎกระทรวงฉบับที่ 33 สภาผู้บริโภคจึงได้ยื่นหนังสือต่อ กทม. ให้ตรวจสอบอาคารที่ก่อสร้างผิดกฏหมายแล้ว" 

ด้าน นายสินิทธิ์ บุญสิทธิ์ ผู้เชี่ยวชาญด้านกฎหมายควบคุมอาคารกรมโยธาธิการ  กล่าวว่า ปัญหาของการสร้างอาคาร ตามกฏหมายควบคุมอาคาร 2522 กำหนดว่า ต้องมีผิวการจราจรกว้างไม่น้อยกว่า 6.00 เมตร ที่พบผู้ประกอบการมักจะดัดแปลงส่วนนี้ เพื่อความสวยงามของอาคารเป็นประโยชน์ต่อการขาย เช่น ทำเป็นสวน  สระน้ำ แต่ในข้อเท็จจริงต้องเป็นผิวจราจรล้วนๆ ปราศจากสิ่งปกคลุมจะมีแม้แต่กระถางต้นไม้  หรือ มาทำเป็นที่จอดรถก็ไม่ได้ 

สิ่งที่ผู้ประกอบการควรทำ คือ ต้องตรงไปตรงมา ซึ่งในกฎหมายควบคุมอาคารเขียนไว้ค่อนข้างผูกพัน ทั้ง ผู้ประกอบการ ผู้ประกอบวิชาชีพ สถาปนิก วิศวกร ว่า ถ้า กทม.อนุญาตแล้วต้องมีการก่อสร้างให้เป็นไปตามแบบ สร้างผิดแบบเมื่อไหร่ถือว่าเป็นความรับผิดชอบผู้ประกอบการและผู้ควบคุมงาน 

ทั้งนี้ ตนเป็นหนึ่งในคณะกรรมการจรรยาบรรณสภาวิศวกร ปัญหาที่เจอบ่อย คือ แบบรับอนุญาต แบบคู่สัญญา และแบบก่อสร้าง ไม่ตรงกัน  และส่วนใหญ่จะรู้ว่าแบบไม่ตรงกันก็เมื่อมีการฟ้องร้อง

“ปัญหาที่เราพบบ่อยมากคือ การออกแบบ 3 แบบไม่ตรงกัน คือแบบที่ขออนุญาตไม่ตรงกับแบบก่อสร้าง ซึ่งเจ้าหน้าที่จะพบปัญหานี้หลังจากที่ชาวบ้านร้องเรียนขึ้นมา และไปตรวจสอบเป็นคดีฟ้องร้องเราจึงพบปัญหา” 

นายอรรถวิชช์ สุวรรณภักดี ประธานคณะที่ปรึกษาของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม กล่าวว่า ในส่วนของกระทรวงอุตสาหกรรม พยายามดูแลในเรื่องวัสดุก่อสร้างว่าต้องให้ได้มาตรฐาน กรณีตึก สตง. ถล่ม กระทรวงอุตสาหกรรมมีการส่งหนังสือไปถึง สตง. ตั้งแต่ เม.ย. ขอทราบว่า เหล็กที่ใช้กับตึกที่ถล่มนั้น เป็นเหล็กล็อตไหน ผลิตปีใด แต่ก็ยังไม่ได้รับคำตอบ  

“ที่ต้องพูดเรื่องนี้ เพราะถ้าได้ข้อมูลเร็วก็จะได้ส่งต่อให้กับวิศวกรที่ควบคุมโครงการก่อสร้างตึกขนาดใหญ่ ไปตรวจสอบว่าตึกที่ตนเองควบคุมอยู่นั้นใช้เหล็กล็อต และปีผลิตดังกล่าวก่อสร้างหรือไม่ หากมีก็จะได้มีการเสริมแรงเข้าไปเพื่อให้เกิดความปลอดภัย”

ส่วนในเรื่องปัญหาการก่อสร้างอาคารขนาดใหญ่ผิดกฎหมายส่วนตัวมีข้อเสนอ 3 เรื่อง 

ข้อ 1.ผู้ทำอีไอเอ ไม่ควรได้รับค่าจ้างตรงจากผู้ประกอบการ แต่ควรรับเงินจากคณะกรรมการอีไอเอแล้วให้คณะกรรมการอีไอเอไปเก็บในรูปแบบของค่าธรรมเนียม 

ข้อ 2.กฎกระทรวงฉบับที่ 33 ฉบับที่มีปัญหา และกรมโยธากำลังมีการยกร่างแก้ไขใหม่ เรื่องของเขต ที่เขาจะนับรวมหมดเลยทั้งกระถางต้นไม้ คูน้ำ ที่สำคัญมีการเพิ่มประโยคคำว่า "อื่นๆ" ซึ่งถ้ายอมให้มีการกำหนดในลักษณะนี้ จะยิ่งง่ายต่อการให้มีการก่อสร้างตึกสูง ทางสภาผู้บริโภคควรจะมีการรวมประเด็นเหล่านี้และย้ำไปทางกรมโยธาธิการ ว่าประเด็นเหล่านี้ยอมไม่ได้ 

และข้อ 3. ต้องเรียกร้องให้มีการเปิดเผยข้อมูล ถ้าเป็นอาคารสาธารณะควรให้ประชาชนเข้าไปมีส่วนร่วมในการเช็คตึกนั้นๆ ด้วย

                              สภาผู้บริโภคพบ 11 โครงการอาคารสูง กทม. เข้าข่ายผิดก.ม. ไม่ตรงปก

นายสุรัช ติระกุล รองผู้อำนวยการสำนักงานโยธา กรุงเทพมหานคร กล่าวว่า อาคารสูงที่เข้าข่ายผิดกฎหมายที่สภาผู้บริโภคได้แจ้งข้อมูลมา หาก กทม. เข้าตรวจสอบและพบว่าไม่ผิดเยอะเช่นตั้งกระถางต้นไม้กีดขวาง  ก็จะแจ้งทางวาจาให้เจ้าของอาคารปรับปรุงซึ่งส่วนใหญ่จะได้รับความร่วมมือ 

ขณะนี้มีอยู่ 3-4 อาคาร ที่มีการประสานไปทางวาจา เมื่อ 2 สัปดาห์ที่แล้ว ยังไม่ยอมให้เข้าตรวจ หรือแก้ไข อ้างว่าต้องการให้แจ้งเป็นลายลักษณ์อักษร แต่ถ้าอาคารไหนมีลักษณะผิดเยอะ ก็จะแจ้งให้ทางสำนักงานเขตดำเนินคดี  

ส่วนที่ผู้บริโภคมองว่าอาคารไม่เป็นไปตามที่บริษัทได้โฆษณาขายหรือเรียกว่า "ไม่ตรงปก" นายสุรัช กล่าวว่า  อย่างที่ระบุกันก่อนหน้านี้ว่าแบบของอาคาร จะมี 3 แบบ คือ แบบโฆษณา  แบบรับอนุญาต และแบบก่อสร้าง ซึ่งแม้ตามกฎหมายจะให้ กทม. เข้าไปตรวจสอบได้ 3 ช่วงเวลาคือก่ อนก่อสร้าง ขณะก่อสร้าง และ ก่อสร้างแล้วเสร็จ 

แต่ปัญหา คือ เมื่อเจ้าของโครงการก่อสร้างไประยะหนึ่ง ก็จะมีการแก้ไขแบบ กว่าเจ้าหน้าที่ กทม.จะไปพบ ก็เมื่อสร้างเสร็จแล้ว ซึ่งบางครั้งก็ไม่ได้ถือว่ามีการกระทำผิด เพราะมีการขออนุญาตแก้ไขแบบ และมีการสร้างตามแบบที่ขอแก้ไข

ส่วน นายก้องศักดิ์ สหะศักดิ์มนตรี อนุกรรมการด้านอสังหาริมทรัพย์และที่อยู่อาศัยสภาผู้บริโภค กล่าวว่า เรายื่นไปให้ทางสำนักโยธาของกรุงเทพมหานคร ถึงผู้ว่า ฯกทม. วันนี้มีร่วม 50 อาคารของทุกค่ายอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งความผิดไม่ใช่แค่ให้โยธาตรวจสอบแล้วมีการแก้ไขให้ถูกต้องตามแบบที่ขออนุญาตไว้ แต่มีคนผิดตั้งแต่ต้น ออกแบบพรีวิวกับแบบสุดท้ายตรงกัน แต่แบบขออนุญาตเขียนอีกแบบ นี่คือ การจงใจยื่นเอกสารเท็จต่อทางราชการ 

ดังนั้น ที่ตึก สตง.ถล่ม และเราหันมาให้ความสนใจเรื่องการแก้ไขระบบมาตรฐานการก่อสร้าง โดย สส. มีการตั้งกรรมาธิการขึ้นมา ถือเป็นนิมิตหมายที่ดี เพราะวันนี้เรายังมีคนเข้าอาคารไม่ได้เป็น 10 อาคาร และแผ่นดินไหวโดนกระทำมาทางใต้ดิน แต่กลับไม่มีใครพูดเรื่องโครงสร้างใต้ดิน แล้วแก้ปัญหากันแบบไปฉาบไปทาบนผนังที่ร้าวกัน จริงๆ มันเป็นเรื่องอันตราย"

สำหรับปัญหาดังกล่าว นายก้องศักดิ์ มองว่า การก่อสร้างอาคารที่ผิดกฎหมายในแต่ละขั้นตอน มีตัวละครเกี่ยวข้องหลายตัว เช่น แบบก่อสร้าง สถาปนิกผู้ออกแบบและเจ้าของโครงการต้องรับรู้และพึงพอใจในแบบถึงจะออกมาเป็นแบบ 

“เมื่อมันผิดเพี้ยนตั้งแต่การออกแบบ จนอาคารออกมาไม่ตรงปก จะเห็นว่า มีคนผิดตั้งแต่ต้น ออกแบบพรีวิวกับแบบสุดท้ายไม่ตรงกัน ทั้งที่แบบขออนุญาตเขียนอีกแบบ นี่คือ การจงใจยื่นเอกสารเท็จต่อทางราชการ ซึ่งเป็นเรื่องอันตราย เพราะกฏหมายได้ระบุไว้ละเอียด เพื่อความปลอดภัยต่อชีวิตและทรัพย์สิน”

นายก้องศักดิ์ ย้ำว่า ที่ยกเรื่องถนน 6 เมตรขึ้นมา เพื่อต้องการให้บริการนำไปสู่การแก้ไขปัญหาจริงจังเสียที ซึ่งจะมีการทำหนังสือถึงหน่วยงานที่เกี่ยวข้องโดยเฉพาะ การแก้ไขกฎหมาย อยากวิงวอนว่าให้ประชาชนเข้าไปมีส่วนร่วมในการแก้ไขกฎหมายควบคุมอาคาร กฎหมายผังเมือง เพราะเรื่องเหล่านี้มีผลกระทบต่อประชาชนโดยตรง

และการแก้ไขกฎหมายใดๆ ที่กรมโยธาทำอยู่ขณะนี้ เราคัดค้านไปแล้วว่า เป็นการแก้ไขไปสู่การให้ผู้ประกอบการมีความสะดวกในการขออนุญาตก่อสร้างอาคารสูงขนาดพิเศษในเขตชุมชนได้มากขึ้น