การขับเคลื่อนนโยบายเพิ่มศักยภาพเศรษฐกิจสุขภาพสู่ Medical & Wellness Hub ของกระทรวงสาธารณสุขมีหมุดหมายเพื่อสนับสนุนการเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศในฐานะกลไกขับเคลื่อนเศรษฐกิจเพื่ออนาคต (New Engine of Growth) "กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์" หรือที่หลายคนเรียกว่า "กรมวิทย์ฯ" ถือเป็นอีกหนึ่งหน่วยงานที่มีความสำคัญในการผลักดันให้การก้าวเดินสู่ Medical & Wellness Hub ประสบความสำเร็จ
"ฐานเศรษฐกิจ" ได้มีโอกาสสัมภาษณ์พิเศษ "นายแพทย์ยงยศ ธรรมวุฒิ" อธิบดีกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ ถึงบทบาทสำคัญของกรมวิทย์ฯ ในการผลักดันประเทศไทยสู่การเป็น Medical & Wellness Hub โดยเน้นการพัฒนานวัตกรรมจากสมุนไพรไทยด้วยหลักวิทยาศาสตร์ พร้อมบอกเล่าถึงการเปลี่ยนแปลงแนวทางการทำงานของกรมวิทย์ฯ จากการทำงานเฉพาะในห้องปฏิบัติการสู่การลงพื้นที่ทำงานร่วมกับประชาชนเพื่อให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด
"นพ.ยงยศ" เล่าย้อนกลับไปถึงประสบการณ์เมื่อ 20 ปีก่อนที่กรมฯ ได้เริ่มเปลี่ยนแนวทางการทำงานจากการอยู่เฉพาะในห้องปฏิบัติการสู่การลงไปคลุกคลีกับคนในพื้นที่และชาวบ้านเพื่อให้ได้เสียงสะท้อนที่ทำให้การทำงานเกิดประสิทธิภาพ
ตัวอย่างหนึ่ง คือ การทดลองปลูกกวาวเครือในพื้นที่ประมาณ 30-40 ไร่ ที่อำเภอแม่แตง จังหวัดเชียงใหม่ เมื่อขุดขึ้นมาพบว่า ไม่มีสารสำคัญแทนที่จะขุดทิ้งไป ทางกรมฯได้ออกแบบการทดลองใหม่ แบ่งเป็นโซนต่าง ๆ 20-50 โซนแล้วปรับสภาพแวดล้อมให้แตกต่างกัน เช่น การใส่ปุ๋ย การให้อาหารเสริม เพื่อศึกษาหาคำตอบว่า สารออกฤทธิ์สำคัญหายไปเพราะสาเหตุใด
โครงการล่าสุดที่กรมฯกำลังดำเนินการ คือ การอนุรักษ์และพัฒนา 'พริกไทยปะเหลียน' ซึ่งได้รับการจดทะเบียนสิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์ (GI) ของจังหวัดตรังโดยกรมฯได้เพาะเนื้อเยื่อเป็นสายพันธุ์ไทยแท้และปลูกไว้ประมาณ 8,000 ต้น เดือนหน้าจะนำไปมอบให้ผู้ว่าราชการจังหวัดตรัง นายอำเภอ กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน และองค์การบริหารส่วนจังหวัดเพื่อนำต้นกล้าไปแจกให้เกษตรกรปลูกในพื้นที่ต่อไป
ในขณะที่งานสนับสนุน Wellness Hub ของประเทศ กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ในฐานะหน่วยงาน 'แถวสอง' มีภารกิจหลัก 3 ด้าน ได้แก่ การพัฒนาสมุนไพร, การตรวจสอบความปลอดภัยอาหาร และผลิตภัณฑ์การแพทย์ชั้นสูง (ATMPs: Advanced Therapy Medicinal Products) โดยทุกการดำเนินงานต้องอยู่บนพื้นฐานของหลักวิทยาศาสตร์ที่ต้องมีเหตุมีผล จับต้องได้ พิสูจน์ได้ และมีประโยชน์จริง
ปีนี้กรมวิทย์ฯ ได้พัฒนานวัตกรรมจากสมุนไพรไทยกว่า 10 ผลิตภัณฑ์โดยเน้นการนำสมุนไพรท้องถิ่นมาพัฒนาด้วยเทคโนโลยีทันสมัย ตัวอย่างที่ประสบความสำเร็จ เช่น Hair Tonic จาก 'มะหาด' ที่ช่วยทำให้ผมดกดำและเวชสำอางลดริ้วรอย (Rejumine) จากสารสกัด 'ฝาง' ที่พัฒนาด้วยกระบวนการทางวิทยาศาสตร์อย่างเป็นรูปธรรม ความสำเร็จที่โดดเด่น คือ น้ำยาบ้วนปากจาก 'หญ้าแฝก' พันธุ์สุราษฎร์ธานี ที่มูลนิธิทันตนวัตกรรมในพระบรมราชูปถัมภ์นำไปผลิตและส่งออกไปขายที่ซาอุดิอาระเบียปีละ 100 ล้านขวด
"สิ่งนี้สะท้อนให้เห็นว่า พืชสมุนไพรที่ปลูกและเก็บเกี่ยวในพื้นที่ที่เหมาะสมจึงจะมีสารสำคัญตามที่ต้องการ"
ขณะที่ "พืชกระท่อม" ซึ่งนายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ได้ตั้งโจทย์ว่า จะทำอย่างไรให้กระท่อมเป็นพืชเศรษฐกิจ โดยกรมฯ ได้พัฒนาเทคโนโลยีการสกัดสาร "ไมทราไจนีน" จากกระท่อมและจดลิขสิทธิ์เป็นของกรมฯ เรียบร้อยแล้วพร้อมเตรียมประกาศขายลิขสิทธิ์ในเดือนหน้านี้
น่าสนใจว่า ปัจจุบันเกษตรกรไทยจะขายใบกระท่อมสดกิโลกรัมละ 30-50 บาท เมื่อนำไปผ่านกระบวนการตามมาตรฐานส่งออกไปขายที่ประเทศอินเดียเดือนละประมาณ 4 ล้านกิโลกรัมเพื่อสกัดเอา "สารไมทราไจนีน" ก่อนส่งไปทำผลิตภัณฑ์ที่อเมริกาต่อ แต่ขณะนี้เทคโนโลยีของไทยโดยกรมวิทย์ฯ มีความสามารถในการสกัดสารดังกล่าวได้เทียบเท่ากับอินเดียแล้วซึ่งเบื้องต้นมีผู้ประกอบการสนใจสร้างโรงงานรอเตรียมแข่งประมูลเพื่อซื้อเทคโนโลยีของกรมฯซึ่งจะช่วยยกระดับราคาผลผลิตของเกษตรกรไทยที่ปลูกกระท่อมกว่า 300 ล้านต้นทั่วประเทศให้ดีขึ้น
นอกจากนี้กรมฯ ได้ทำการวิจัยในคนร่วมกับโรงพยาบาลศูนย์สุราษฎร์ธานีและมหาวิทยาลัยมหิดล รวมถึงศูนย์วิทยาศาสตร์การแพทย์เพื่อหาปริมาณสูงสุดที่คนไทยรับประทานกระท่อมแล้วได้สุขภาพดีซึ่งมีบริษัทผลิตเครื่องดื่ม Energy Drink ให้ความสนใจรอผลการวิจัยเพื่อขอขึ้นทะเบียนกับ อย.เช่นกัน
ในส่วนของ Wellness ยังครอบคลุมเรื่องของอาหาร ตามสโลแกน "กินดีไม่ป่วย" ของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขโดยห้องปฏิบัติการของกรมฯ เป็นหลักสำคัญให้กับประเทศในเรื่อง Food Safety และอาหารเสริมโดยสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยาจะส่งผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ มาให้กรมฯ ตรวจสอบ ซึ่งกรมฯ มีนโยบายอำนวยความสะดวกและตรวจให้เร็วเพื่อให้ผู้ประกอบการไปพัฒนาต่อได้ ด้วยทีมงานที่ประกอบด้วยผู้เชี่ยวชาญระดับปริญญาเอกเกือบ 300 คน และปริญญาโทอีก 400-500 คน
อย่างไรก็ดี นพ.ยงยศ อธิบายชี้แจงถึงบทบาทและอำนาจหน้าที่ของ กรมวิทย์ฯ ว่า สามารถรับตรวจได้เฉพาะสองกรณี คือ เจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องเป็นผู้นำส่งมาให้ตรวจ และเจ้าของผลิตภัณฑ์ตัวจริงนำมาเอง กรมฯ ไม่สามารถไปเก็บตัวอย่างตรวจเองได้ เพราะจะเป็นการทำผิดกฎหมาย หน้าที่ในการไปจัดการนอกรั้วกรมฯ เป็นเรื่องของหน่วยงานอื่น
ขณะที่กรมฯ มีหน้าที่พิสูจน์ความจริงเท่านั้น แม้จะมีข้อจำกัดในบางด้านแต่กรมฯยังคงเป็นหน่วยงานที่มีงานวิจัยและนวัตกรรมมากที่สุดมีผลงานวิจัยหลายร้อยเรื่องต่อปีซึ่งสะท้อนถึงศักยภาพในการเป็นกำลังสำคัญในการขับเคลื่อนประเทศไทยสู่การเป็น Medical & Wellness Hub ที่แท้จริง
ปัจจุบันกรมวิทย์ฯ ถือลิขสิทธิ์ในการสกัดสารต่าง ๆ เฉพาะจากพืชประมาณ 20-30 ชนิด อาทิ มะหาด ฝาง กระท่อมและรางจืด ซึ่งล้วนเป็นทรัพย์สินทางปัญญาที่มีมูลค่าทางเศรษฐกิจสูงและจะเป็นรากฐานสำคัญในการพัฒนาอุตสาหกรรมสุขภาพของประเทศต่อไปโดยผลการดำเนินงานที่ผ่านมา ในปี 2564 มีการถ่ายทอดเทคโนโลยีการผลิต ผลิตภัณฑ์เจลล้างหน้าผสมสารสกัดมะหาด ในปี 2567 มีการถ่ายทอดเทคโนโลยีการผลิตผลิตภัณฑ์สมุนไพรแฮร์โทนิคแคนนาบิไดออลและออกซีเรสเวอราทรอล
นพ.ยงยศ เน้นย้ำหลักการทำงานของกรมวิทย์ฯว่า ต้องพิสูจน์ด้วยหลักวิทยาศาสตร์ ปลอดภัย ไม่มีพิษและเกิดประโยชน์จริงเพื่อยกระดับสมุนไพรไทยสู่การยอมรับระดับสากล
หน้า 15 หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ฉบับที่ 4,103 วันที่ 8 - 11 มิถุนายน พ.ศ. 2568