จากการประชุมคณะกรรมการกองทุนหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ หรือ บอร์ด สปสช. ที่มีนายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขในฐานะประธาน บอร์ด สปสช. เป็นประธานการประชุม ภายหลังเสร็จสิ้นการประชุมนายสมศักดิ์ เปิดเผยว่า ที่ประชุมได้มีมติหลายเรื่องที่น่าสนใจโดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องงบ 30 บาทรักษาทุกที่ที่ถูกตั้งข้อสังเกตว่า จะล้มละลายนั้น ในที่ประชุมได้มีการพูดคุยและเห็นแล้วว่า กองทุนมีความมั่นคงมากแต่เพื่อทำให้ประชาชนเกิดความมั่นใจมีมติว่า จะสร้างระบบตรวจสอบที่เป็นมาตรฐานที่สุดเพื่อให้เกิดความเข้มแข็งและพัฒนาแบบเดินหน้าต่อไปได้
ทั้งนี้ ที่ผ่านมากรณีผู้ป่วยนอกกระทรวงสาธารณสุขรับในปีงบประมาณที่แล้ว 306 ล้านครั้ง คนหนึ่งเข้าออกโรงพยาบาลมากกว่าหนึ่งครั้ง โดย สปสช.ใช้บริการกระทรวงสาธารณสุข 240 ล้านครั้ง
ดังนั้น สธ.มีรายได้จาก 30 บาทรักษาทุกที่และได้จากราชการกองทุนประกันสังคมและอื่น ๆ ฉะนั้น ตัวเลขที่ได้มาจะผสมผสานดูแล้วโรงพยาบาลที่ขาดทุน มี 13 แห่งมั่นใจว่า ไม่ใช่เรื่องการให้บริการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติแต่อาจเป็นเรื่องอื่นซึ่งกำลังตรวจสอบอยู่โดยในวันศุกร์นี้จะลงพื้นที่ไปที่ รพ.ขอนแก่น ซึ่งจากข้อมูลเป็นโรงพยาบาลที่มีตัวเลขขาดทุนมากที่สุดเพื่อไปดูให้เห็นและปรับปรุงแก้ไขอาจจะมีการเปลี่ยนผู้บริหารใน 13 แห่งที่ขาดทุนนี้ด้วยหรือไม่ อย่างไร
อย่างไรก็ดี นายสมศักดิ์ ให้ข้อสังเกตว่า ตัวเลขขาดทุนดังกล่าวอาจเกิดขึ้นจากหลายปัจจัย เช่น การตรวจสอบระบบการคีย์ข้อมูลซึ่งถ้าคีย์ข้อมูลไม่ตรงก็อาจเป็นค่าใช้จ่ายที่สูงขึ้นได้ก็ต้องไปตรวจสอบซึ่งมติในที่ประชุมเป็นเอกฉันท์ที่จะให้มีการตรวจสอบเพราะทุกคนรักใน 30 บาทรักษาทุกที่ อยากให้มีความยั่งยืน
ด้านนายแพทย์มณเฑียร คณาสวัสดิ์ รองปลัดกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า จากข้อมูลมีเงินสุทธิหลังหักหนี้สินปัจจุบัน 42,000 ล้านบาท โรงพยาบาลที่มีปัญหาขาดทุน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขก็ให้นโยบายให้ตั้งทีมงานลงไปตรวจสอบเพื่อหาแนวทางแก้ไขปัญหายืนยันว่า สถานการณ์ทางการเงินสามารถบริหารจัดการได้ไม่มีปัญหาแต่โรงพยาบาลไหนที่มีปัญหาก็ต้องเข้าไปดูแล
นายแพทย์จเด็จ ธรรมทัชอารี เลขาธิการ สปสช. กล่าวว่า รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารสุขสั่งการให้มีหน่วยงานที่เป็นกลางเข้ามาตรวจสอบเรื่องการจัดสรรงบประมาณ รับงบประมาณและมอบให้ดูเรื่องปัญหาที่เกิดขึ้นต่าง ๆ เช่น มีการร้องการเบิกไม่ถูกต้อง ใช้บัตรประชาชนไม่ถูกต้องก็จะใส่ในทีโออาร์จะได้ข้อเสนอที่ประชุมเห็นตรงกันว่า จะต้องมีรายงานเบื้องต้นไม่เกิน 3 เดือนเพื่อวางระบบในระยะยาว
นอกจากนี้จะมีอีกชุดที่มาดูต้นทุนภาพใหญ่เพราะว่ากระทรวงสาธารณสุขไม่ได้รับงบฯจาก สปสช.อย่างเดียว มีหลายส่วนอาจจะมีการบูรณาการ 3 ระบบที่มีรมว.คลังเป็นประธานจะมาดูเรื่องการเงิน ต้นทุน โดยจะดำเนินการตามมติบอร์ด
ด้านนายแพทย์วิชัย โชควิวัฒน์ บอร์ด สปสช. กล่าวว่า ระบบเงินบำรุงที่มีตัวเลขที่สมบูรณ์ คือ ตัวเลขสำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข ทำไว้ดีมาก มีข้อมูลรายรับ รายจ่าย หนี้สินครบถ้วน ข้อมูลพบว่า มีโรงพยาบาล 13 แห่งขาดทุนและ 89 แห่งขณะนี้มีเงินบำรุงสุทธิเหลืออยู่ 4.6 หมื่นล้านบาท ก่อนเข้าสู่ระบบบัตรทองมีเงินบำรุงเพียง 1พันล้านต้น ๆ เท่านั้นเอง
ปี 61 ขึ้นมา 6 พันล้านบาท ตอนโควิดขึ้นไป 9 หมื่นล้านกว่าบาท หลังจากโควิดได้นำเงินบำรุงไปปรับปรุงโรงพยาบาลซื้อเครื่องมือต่าง ๆ ประมาณ 4 หมื่นกว่าล้านและยังเหลือเงินอีก 5 หมื่นล้านจริง ๆ แล้วสถานะถือว่า มั่นคงมาก ไม่น่าวิตกกังวล สถานะทางการเงินไม่ใช่แค่มั่นคงเท่านั้นถือว่ามั่งคั่งด้วย
สำหรับกรณีที่มีหนังสือให้ นพ.จเด็จ เลขาธิการ สปสช. จัดจ้างหน่วยงานภายนอกตรวจสอบการบริหารและการใช้จ่ายงบประมาณกองทุนหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (กองทุนบัตรทอง) นั้น นายสมศักดิ์ ระบุว่า ขณะนี้ได้รายชื่อหน่วยงานแล้ว เป็นบริษัทภาคเอกชนที่เชี่ยวชาญในการตรวจสอบระบบและการบัญชีระดับโลกรวม 4 บริษัท หรือที่เรียกว่ากลุ่ม "บิ๊กโฟร์" ซึ่งประกอบด้วย
1. บริษัท PricewaterhouseCoopers (PwC)จากประเทศอังกฤษ
2. บริษัท EY (เดิมคือ Ernst & Young) จากประเทศอังกฤษ
3. บริษัท Deloitte Touche Tohmatsu (Deloitte) จากสหรัฐอเมริกา
4. บริษัท KPMG จากประเทศสวิสเซอร์แลนด์
ทั้งนี้ ทั้ง 4 บริษัทจะมีบริษัทลูกในประเทศไทยที่คอยดูแล ตลอด 1 เดือนที่ผ่านมามีข้อมูลหลากหลายที่มีผลกระทบต่อการบริหารงาน เช่น คลินิกชุมชน บอกว่า ค่ารักษา การส่งต่อ เงินไม่พอ มีปัญหา ซึ่งคนฟังอาจไม่เข้าใจเพราะเป็นเรื่องการบริหารที่มีกฎหมายกำกับโดยเฉพาะงบประมาณปลายปิดจะบอกว่า มีคนป่วยมากขึ้น โรคมากขึ้นจึงต้องใช้งบประมาณเพิ่มขึ้น แต่การบริหารของ สปสช.มีวิชาการในการประเมิน มีการบริหารตัวเลขอย่างดีแต่มันเกิดมากขึ้นอาจเป็นเรื่องจริงก็ได้ที่มีการบริหารแล้วมีการเจ็บป่วยมากขึ้น หรืออาจจะไม่จริง แล้วใครจะชี้ว่า จริงหรือไม่ เพราะการบริหารของหน่วยงานราชการก็บริหารตามหลักคณิตศาสตร์หลักสถิติ
ดังนั้น เรื่องการตรวจสอบได้หารือกับ เลขาธิการ สปสช.ว่า สมควรให้มีหน่วยงานกลางมาช่วยให้เกิดความกระจ่างเพราะเรื่องนี้เข้าใจไม่ง่ายสำหรับผู้ที่อยู่นอกวงการ คำว่า ปลายปิด ปลายเปิด ต้องหาผู้รู้เข้ามาและบุคคลภายนอกที่ไม่เกี่ยวข้องกับฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งมาดู
"ผมคิดว่า ทุกอย่างจะจบและต้องเตรียมตัวเตรียมใจกัน หากว่า คลินิกอบอุ่น สปสช. หรือโรงพยาบาลของกระทรวงสาธารณสุขหรืออื่น ๆ มีอะไรผิดพลาดก็ต้องมีการปรับแก้ ปรับเปลี่ยนกันและให้คุณให้โทษกับทุกส่วน เช่น คลินิกอบอุ่น จะต้องถูกดำเนินคดีบ้าง หรือกระทรวงสาธารณสุขที่ผิดก็ต้องเอาเงินคืน ต้องไปตามกฎหมายแต่คิดว่า จะทำโดยแนวทางที่เป็นวิทยาศาสตร์ให้มากขึ้นเพื่อไม่ให้ปัญหาเรื้อรัง
ผมเชื่อว่า นโยบาย 30 บาท เงินไม่พอ ไม่จริง รัฐบาลเติมให้ตลอดแต่การเติมเงินให้นั้นต้องอยู่ในเงื่อนไขของความถูกต้องไม่ถูกปิดบังหรือสร้างข้อมูลเท็จ เบิกเงินจะต้องมีการตรวจสอบ ใครทำผิดก็ต้องต้องถูกทำโทษ เชื่อว่า คนไทยส่วนใหญ่ชอบนโยบาย 30 บาทรักษาทุกที่แต่สิ่งต่าง ๆ ที่ทำให้ผู้บริหารปวดหัว เพราะถกเถียงกันโดยส่วนใหญ่ใช้เวลามาพูดคุยจะพูดปัญหาของตัวเองไม่ใช่ภาพรวม" นายสมศักดิ์ กล่าว
ถามว่า การตรวจสอบงบประมาณบัตรทอง 30 บาทจะไม่ตรวจสอบแค่ สปสช. แต่จะตรวจสอบไปถึงโรงพยาบาลและหน่วยบริการด้วยใช่หรือไม่นั้น นายสมศักดิ์ กล่าวว่า หากไปถึงตรงไหนก็ตรวจสอบไปถึงตรงนั้นแต่ต้องดูด้วยว่า บริษัทเอกชนทั้ง 4 บริษัทนี้จะเข้าไปตรวจสอบได้แค่ไหน แต่ยืนยันว่า เป็นคนกลาง ไม่มีใครมีเส้นสายเข้าถึงได้และที่ผ่านมากลุ่มบิ๊กโฟร์นี้ก็ตรวจสอบองค์กร บริษัทชั้นนำมาแล้วทั่วโลกซึ่งต้องการคำตอบให้เร็วที่สุดอยู่ที่บริษัทเอกชนกลุ่มนี้จะทำได้เร็วแค่ไหนเพราะการเมืองต้องการความรวดเร็ว ปรับ ครม.กันบ่อยก็ต้องทำให้รวดเร็ว