KEY
POINTS
รศ.ดร.นพ.อติวุทธ กมุทมาศ นายกสมาคมเพศวิทยาคลินิกและเวชศาสตร์ทางเพศ (ประเทศไทย) แพทย์เฉพาะทางเวชศาสตร์ทางเพศ คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และเจ้าของเพจ “เรื่องเล่าพี่หมอเอ้” กล่าวว่า ปัจจุบันคนรุ่นใหม่เริ่มเข้าใจเรื่อง HIV มากขึ้น โดยเฉพาะในกลุ่มวัยรุ่น และ LGBTQ+ แต่ขาดแรงจูงใจในการป้องกันและไม่นิยมใช้ถุงยางอนามัย
จากข้อมูลล่าสุดในปี 2567 ชี้ว่าประเทศไทยมีผู้ติดเชื้อ HIV กว่า 5.8 แสนคน หรือราว 1.1% ของประชากรไทยทั้งหมด ถือว่าสูงเมื่อเทียบกับประเทศอื่นๆ และที่น่ากังวลคือ เชื้อ HIV กำลังกระจายไปในทุกกลุ่ม ไม่จำกัดเฉพาะกลุ่มเสี่ยงเดิม
ข้อมูลนี้สอดคล้องกันทั้งในวัยรุ่นไทยและทั่วโลก โดยได้รับอิทธิพลจากสื่อออนไลน์และครีเอเตอร์เฉพาะทาง เช่น OnlyFans ที่ทำให้การไม่ใส่ถุงยางถูกมองว่าเป็นแฟชั่น ทั้งที่มีความเสี่ยงสูงมาก โดยเฉพาะพฤติกรรมทางเพศแบบกลุ่มหรือมีคู่นอนมากกว่า 2 คนในเวลาเดียวกัน ทำให้อัตราการติดเชื้อ HIV เพิ่มขึ้นอย่างชัดเจนในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา
นอกจากนี้ ยังพบผู้ติดเชื้อสูงในกลุ่มชายรักชาย (MSM) และกลุ่มทั่วไป พบทั้งรูปแบบสลับคู่นอน 3–5 คน หรือจัด Sex Party ซึ่งบางกลุ่มมองว่าเป็นแฟชั่นทางเพศ ขณะเดียวกันยังพบความสัมพันธ์แบบรักหลายคน (Polyamory) ที่ทุกฝ่ายยินยอม แม้คนส่วนใหญ่รู้จักวิธีป้องกัน HIV แต่ขาดการตระหนักรู้เชิงลึก โดยเฉพาะความเสี่ยงจากพฤติกรรมที่คิดว่าปลอดภัย เช่น กาาออรัลเซ็กส์ หรือการสัมผัสสารคัดหลั่ง ซึ่งยังมีโอกาสติดเชื้อได้
รศ. ดร. นพ.อติวุทธ กล่าวว่า ปกติโรงเรียนส่วนใหญ่จะเรียนการสอนเพศศึกษาอยู่แล้ว แต่ยังเน้นเฉพาะเรื่องเพศศึกษาเชิงกายภาพ เช่น วิธีใช้ถุงยาง ส่วนมากยังขาดการสอนเรื่องสิทธิทางเพศ การยินยอม และพฤติกรรมทางเพศที่หลากหลาย ซึ่งส่งผลให้วัยรุ่นไทยกว่าครึ่งยังมีเพศสัมพันธ์โดยไม่ป้องกัน เพราะมองว่า ‘ไม่ใส่มีความสุขกว่า’ หรือ ‘ยังเด็กไม่เสี่ยง’ สะท้อนช่องว่างของการขาดความรู้ที่ต้องเร่งแก้ไข และปัจจุบันก็ยังไม่มีวัคซีนป้องกัน HIV จึงต้องใช้หลายวิธีร่วมกัน ได้แก่
สำหรับยาเพร็พเป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่มีประสิทธิภาพ ในการช่วยลดความเสี่ยงของการติดเชื้อเอชไอวีได้ ผู้ที่ยังไม่ติดเชื้อสามารถรับประทานหรือฉีดภายใต้การดูแลของแพทย์เท่านั้น ปัจจุบันมีทั้งแบบรับประทานทุกวัน (Daily PrEP) แบบเฉพาะกิจ (On-Demand PrEP) และแบบฉีดทุก 2 เดือน
ล่าสุดได้มีบรรจุเพร็พชนิดฉีดไว้ในแนวทางปฏิบัติทางการแพทย์ของประเทศไทย (Clinical Practice Guideline) ที่เผยแพร่โดยสมาคมโรคเอดส์แห่งประเทศไทย เมื่อเดือนสิงหาคม พ.ศ. 2568 แต่การเข้าถึงบริการเพร็พในประเทศไทยยังมีข้อจำกัด ภาครัฐอาจควรพิจารณาขยายสิทธิให้ประชาชนเข้าถึงบริการนี้ได้อย่างทั่วถึงมากขึ้น
อย่างไรก็ตาม การให้ความรู้อย่างเดียวยังไม่เพียงพอสำหรับวัยรุ่นในปัจจุบัน ต้องสร้างแรงจูงใจให้ ‘รักตัวเองให้มากขึ้น’ กล้าที่จะป้องกันตัวเอง ปฏิเสธคู่นอนที่ไม่ยอมใส่ถุงยาง และปฏิเสธการมีเพศสัมพันธ์โดยไม่ยินยอมด้วย