สธ.เผย ผู้ป่วย HIV รายใหม่ปี 68 พุ่ง 8,862 ราย เตือนวัยรุ่นเสี่ยงสูงสุด

30 พ.ค. 2568 | 06:25 น.
อัปเดตล่าสุด :30 พ.ค. 2568 | 06:52 น.

กระทรวงสาธารณสุขชี้ปี 2568 ผู้ป่วย HIV รายใหม่ 8,862 รายทั่วประเทศ ส่วนมหาสารคามพบ 136 ราย เสียชีวิต 49 ราย น่าห่วงวัยรุ่นเสี่ยงมากสุด

มหาสารคามรายงานสถานการณ์โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ (STIs) ในปี 2568 พบผู้ป่วยรวม 443 ราย เมื่อปลายเดือน พฤษภาคม 2568 ที่ผ่าน โดยกลุ่มวัยรุ่นยังเป็นกลุ่มเสี่ยงสูงสุด

ซึ่งนับเป็นสัญญาณเตือนภัยด้านสาธารณสุขที่ต้องเร่งดำเนินมาตรการเข้มงวด โดยเฉพาะเชื้อไวรัสเอชไอวี (HIV) พบผู้ติดเชื้อแล้ว 136 ราย และมีผู้เสียชีวิตจากภ.าวะแทรกซ้อนที่เกี่ยวข้อง 49 ราย ส่วนโรคหนองในและซิฟิลิสก็ยังน่าเป็นห่วง โดยคลินิกแห่งหนึ่งในจังหวัด เผยเพียง 2 วัน มีผู้เข้ารับการรักษา 3 ราย พบว่ามี 1 รายติดเชื้อซิฟิลิสและ HIV พร้อมกัน

สธ.เผย ผู้ป่วย HIV รายใหม่ปี 68 พุ่ง 8,862 ราย เตือนวัยรุ่นเสี่ยงสูงสุด

ข้อมูลจากกระทรวงสาธารณสุขรายงานภาพรวมสถานการณ์ติดเชื้อ HIV ในปี 2568 คาดว่าจะมีผู้ติดเชื้อรายใหม่ 8,862 คน และมีผู้เสียชีวิตจากโรคเอดส์หรือภาวะแทรกซ้อน 10,217 คน ขณะที่ผู้ติดเชื้อ HIV สะสมที่ยังมีชีวิตอยู่ในประเทศไทย ณ ปัจจุบันมีประมาณ 568,565 คน ซึ่งแสดงถึงความรุนแรงและความท้าทายของโรคในระดับประเทศ

HIV คืออะไร

HIV (Human Immunodeficiency Virus) เป็นไวรัสที่ทำลายระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย โดยเฉพาะเซลล์เม็ดเลือดขาวชนิด CD4 ซึ่งเป็นเซลล์หลักในการปกป้องร่างกายจากการติดเชื้อและโรคต่าง ๆ ไวรัสนี้เมื่อเข้าสู่ร่างกายจะยึดจับและทำลายเซลล์ภูมิคุ้มกัน

ทำให้ภูมิคุ้มกันอ่อนแอลงอย่างมาก หากไม่ได้รับการรักษา จะนำไปสู่โรคเอดส์ (AIDS) ซึ่งเป็นระยะสุดท้ายของการติดเชื้อ HIV

ผู้ติดเชื้อ HIV ในระยะแรกส่วนใหญ่ไม่มีอาการหรือมีอาการคล้ายไข้หวัด ทำให้ผู้ติดเชื้อไม่รู้ตัวและแพร่เชื้อโดยไม่ตั้งใจได้ การตรวจคัดกรองอย่างสม่ำเสมอจึงเป็นเครื่องมือสำคัญในการค้นหาผู้ติดเชื้อและรับการรักษาได้ตั้งแต่ระยะเริ่มต้น

อาการและระยะของการติดเชื้อ HIV

ระยะที่ 1 (Acute HIV) เกิดภายใน 2-4 สัปดาห์หลังได้รับเชื้อ มีอาการคล้ายไข้หวัดใหญ่ เช่น ไข้สูง ปวดศีรษะ ผื่นขึ้น ต่อมน้ำเหลืองบวม อาการนี้จะหายไปเองใน 2-3 สัปดาห์

ระยะที่ 2 (Chronic HIV หรือ Clinical Latency) ร่างกายยังไม่มีอาการหรืออาการน้อย สามารถอยู่ในระยะนี้ได้ 5-10 ปี หรือมากกว่า

ระยะนี้มีอาการแบ่งเป็นสองระดับคือ
• อาการเล็กน้อย เช่น ไข้ต่ำ ๆ เจ็บคอ ฝ้าขาวในปาก ผื่นเล็กบนผิวหนัง
• อาการปานกลาง เช่น ติดเชื้อทางเดินหายใจซ้ำ น้ำหนักลดโดยไม่ทราบสาเหตุ งูสวัด ไซนัสอักเสบ ท้องเสียเรื้อรัง

ระยะที่ 3 (AIDS) คือระยะที่ระบบภูมิคุ้มกันถูกทำลายอย่างรุนแรง เกิดโรคแทรกซ้อนรุนแรง เช่น วัณโรค โรคปอดอักเสบ ติดเชื้อราในสมอง เริมเรื้อรัง โรคเยื่อหุ้มสมองอักเสบ และโรคมะเร็งบางชนิด

ช่องทางการติดเชื้อ HIV

  • เพศสัมพันธ์โดยไม่ใช้ถุงยางอนามัยกับผู้ติดเชื้อ
  • ใช้เข็มฉีดยาร่วมกับผู้ติดเชื้อ
  • แม่สู่ลูกในระหว่างตั้งครรภ์ คลอด หรือให้นม

แนวทางป้องกัน

  • สวมถุงยางอนามัยทุกครั้งที่มีเพศสัมพันธ์
  • ตรวจคัดกรอง HIV อย่างสม่ำเสมอ โดยเฉพาะคู่สามี-ภรรยาที่วางแผนมีบุตร หรือผู้ที่มีพฤติกรรมเสี่ยง
  • หลีกเลี่ยงการใช้เข็มฉีดยาร่วมกับผู้อื่น
  • การตรวจคัดกรอง HIV ในระยะแรกช่วยให้ผู้ติดเชื้อสามารถรับยาต้านไวรัส (ART) ได้ทันเวลา ซึ่งจะช่วยลดปริมาณไวรัสในเลือดจนไม่สามารถแพร่เชื้อให้ผู้อื่นได้ (ปริมาณไวรัสต่ำกว่า 200 copies/ml)

นอกจากนี้ กรมควบคุมโรคยังแนะนำให้เพิ่มการตรวจคัดกรองโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์อื่น ๆ เช่น ซิฟิลิส หนองใน และโรคเริม เพื่อป้องกันและควบคุมการแพร่เชื้อในประชากรกลุ่มเสี่ยง

สถานการณ์โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ในมหาสารคามและในภาพรวมของประเทศไทย ยังคงเป็นความท้าทายสำคัญต่อระบบสาธารณสุข ทั้งในแง่ของการเฝ้าระวัง การให้บริการตรวจวินิจฉัย และการรักษาที่ครอบคลุม รวมถึงการรณรงค์สร้างความรู้ความเข้าใจแก่ประชาชนเพื่อป้องกันการแพร่ระบาดในวงกว้าง