HIV โรคเงียบที่ยังอันตราย ไขข้อสงสัย ทำไมกลุ่ม LGBTQ+ จึงเสี่ยงสูง

21 มิ.ย. 2568 | 22:00 น.

รักแค่ไหน ยังไงก็ต้อง “Safe Sex” รพ.วิมุต เผย HIV โรคเงียบที่ยังอันตราย ไขข้อสงสัย ทำไมกลุ่ม LGBTQ+ จึงเสี่ยงสูง

ในยุคที่การพบปะนัดพบกันทำได้ง่ายขึ้นผ่านแอปพลิเคชันมากมาย ความสัมพันธ์ใหม่ ๆ ก็เกิดขึ้นได้อย่างรวดเร็ว แต่สิ่งที่ตามมาคือความเสี่ยงต่อโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ที่หลายคนอยากเข้าใจแต่ไม่กล้าถาม

สถิติจากกรมควบคุมโรคพบว่า การติดเชื้อเอชไอวีรายใหม่ส่วนใหญ่เกิดจากการมีเพศสัมพันธ์ระหว่างชายกับชายมากกว่า 60% แต่โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ (STDs) ยังมีอีกหลายโรค

HIV โรคเงียบที่ยังอันตราย ไขข้อสงสัย ทำไมกลุ่ม LGBTQ+ จึงเสี่ยงสูง

และโรคเหล่านี้ไม่ได้เลือกรสนิยมทางเพศ ทุกคนที่มีพฤติกรรมเสี่ยง ล้วนมีความเสี่ยงเท่าเทียมกัน เพื่อให้ทุกคนเข้าใจและสามารถป้องกันตนเองได้อย่างถูกต้อง วันนี้ นพ.ประวัฒน์ จันทฤทธิ์ แพทย์ผู้ชำนาญการโรคติดเชื้อ รพ.วิมุต จะมาแชร์ความรู้เรื่องโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ อย่าง HIV พร้อมทั้งวิธีป้องกันและการรักษาที่ทุกคนควรรู้เพื่อสร้างความสัมพันธ์ที่ปลอดภัยและมีความสุข ไม่ว่าเราจะเลือกรักใครหรือมีรสนิยมทางเพศแบบใดก็ตาม

ชวนรู้จัก 2 โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ที่พบบ่อยที่สุด

นพ.ประวัฒน์ จันทฤทธิ์ อธิบายว่า "โรคหลักของการติดต่อทางเพศสัมพันธ์มีอยู่ 2 โรค คือ เอชไอวี และซิฟิลิส  ทั้ง 2 กลุ่มนี้สามารถติดต่อทางเพศสัมพันธ์ได้ในคราวเดียวกัน การเข้าใจโรคเหล่านี้จึงเป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยให้เราป้องกันและดูแลสุขภาพของตนเองได้อย่างมีประสิทธิภาพ”

นพ.ประวัฒน์ จันทฤทธิ์ 

เอชไอวี (HIV) โรคเงียบที่ยังอันตราย 

แน่นอนว่าในด้านพฤติกรรม คนทุกเพศที่มีความสัมพันธ์โดยไม่ป้องกันและเปลี่ยนคู่นอนหลายคน ล้วนเสี่ยงต่อเอชไอวีทั้งสิ้น แต่ในกลุ่มชายรักชาย จะเสี่ยงติดเชื้อสูงขึ้นจากมิติเชิงชีววิทยา เพราะช่องทวารหนักมีโครงสร้างที่เอื้อต่อการติดเชื้อมากกว่า ช่องคลอด

เนื่องจากเยื่อบุบริเวณนี้ค่อนข้างบาง ไม่มีสารหล่อลื่นตามธรรมชาติ ทำให้เกิดการบาดเจ็บได้ง่าย นอกจากนี้ บริเวณทวารหนักยังมีเซลล์ CD4 เป็นจำนวนมาก ซึ่งเป็นเซลล์ที่เชื้อเอชไอวีชอบไปจับและใช้เป็นตัวนำทางเข้าสู่ร่างกาย

สิ่งที่ทำให้เอชไอวีอันตรายคือ หลายคนหลังจากติดเชื้อแล้วอาจไม่มีอาการเลย หรือมีอาการคล้ายไข้หวัดธรรมดา เช่น เจ็บคอ มีไข้ ซึ่งจะหายเองได้ ทำให้ไม่เกิดข้อสงสัย

"ผู้ติดเชื้อสามารถอยู่โดยไม่มีอาการเป็นเวลา 5-7 ปี หรือบางคนอาจเร็วกว่านั้น 1-2 ปี จนกระทั่งภูมิคุ้มกันถดถอยลงไปเรื่อย ๆ" 

นพ.ประวัฒน์ เตือนว่า เมื่อภูมิคุ้มกันต่ำมาก จะเริ่มมีอาการไม่สบาย เบื่ออาหาร ผอมลง มีผื่นคัน ไข้ขึ้นตอนกลางคืน หรือติดเชื้อแปลก ๆ เช่น เป็นงูสวัด วัณโรคในปอด ซึ่งมักเป็นสัญญาณว่าเข้าสู่ระยะเอดส์แล้ว

ชวนสังคมเข้าใจใหม่ “กินยา PrEP ไม่เท่ากับใส่ถุงยาง”

หลายคนอาจเคยได้ยินชื่อยา PrEP และยา PEP แต่ยังไม่เข้าใจกลไกการทำงานของตัวยา โดย นพ.ประวัฒน์ อธิบายว่า “ยา PrEP (Pre-Exposure Prophylaxis) เป็นยาป้องกันการติดเชื้อที่กินก่อนมีความเสี่ยง เหมาะสำหรับคนที่มีพฤติกรรมเสี่ยง มี 2 แบบ คือ Daily PrEP (กินทุกวัน) และ On-Demand PrEP (กินก่อนมีเพศสัมพันธ์ 2-24 ชั่วโมง และหลังจากนั้นอีก 2 วัน)

ส่วนยา PEP (Post-Exposure Prophylaxis) เป็นยาที่กินหลังมีความเสี่ยงแล้ว ใช้เป็นเวลา 28 วัน ทั้งในบุคลากรทางการแพทย์ที่ถูกเข็มที่ใช้กับผู้ป่วย HIV ทิ่ม และคนทั่วไปที่เสี่ยง ซึ่งต้องเข้าใจก่อนว่า การกินยา PrEP ไม่ได้หมายความว่าไม่ต้องใส่ถุงยางแล้ว เพราะยาป้องกันเฉพาะเอชไอวี

แต่ไม่ป้องกันโรคติดต่ออื่น ๆ ที่อันตรายเหมือนกัน โดยการใช้ถุงยางร่วมกับ PrEP จะให้ประสิทธิภาพการป้องกันเอชไอวีได้ 98-99% แต่หากไม่ใช้ถุงยาง ประสิทธิภาพการป้องกันก็จะลดลง”