กระทรวงสาธารณสุข เผยสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสเอชไอวี (HIV) ในประเทศไทย ประจำปี 2568 สถิติล่าสุดคาดการณ์ว่าจะมีผู้ติดเชื้อรายใหม่ จำนวน 8,862 คน และจะมีผู้เสียชีวิตจากโรคเอดส์สูงถึง 10,217 คน
สำหรับจำนวนผู้ติดเชื้อ HIV สะสมที่ยังมีชีวิตอยู่ในประเทศไทย ปัจจุบันคาดการณ์ว่ามีจำนวน 568,565 คน ซึ่งเป็นตัวเลขที่แสดงให้เห็นถึงภาระทางสาธารณสุขที่ยังคงมีอยู่ และความจำเป็นในการดำเนินมาตรการป้องกันและรักษาอย่างต่อเนื่อง
ข้อมูลดังกล่าวสะท้อนให้เห็นว่า แม้ประเทศไทยจะมีความพยายามในการควบคุมและป้องกัน การแพร่ระบาดของเชื้อ HIV มาอย่างต่อเนื่อง แต่ก็ยังคงมีผู้ติดเชื้อรายใหม่เกิดขึ้นในจำนวนที่น่าเป็นห่วง รวมถึงจำนวนผู้เสียชีวิตจากโรคเอดส์ที่ยังคงอยู่ในระดับสูง
ขณะที่ข้อมูลจาก WellMed Clinic คลินิกการแพทย์ ในพื้นที่ กรงเพทฯ ระบุว่า ในปี 2566 มีผู้ติดเชื้อเอชไอวีในประเทศไทยประมาณ 5.8 แสนคน โดยมีอัตราการแพร่ระบาดอยู่ที่ 1.1% ในกลุ่มผู้ใหญ่ที่มีอายุระหว่าง 15-49 ปี
แม้ว่าประเทศจะมีความคืบหน้าอย่างมากในการลดการติดเชื้อใหม่ โดยลดลงร้อยละ 49 ตั้งแต่ปี 2553 แต่มีผู้ใหญ่ประมาณ 9,100 รายที่ติดเชื้อใหม่ในปีเดียวกัน
ทั้งนี้ ประเทศไทยถือเป็นภูมิภาคที่มีความเสี่ยงสูงต่อการติดเชื้อเอชไอวี โดยเฉพาะในกลุ่มประชากรบางกลุ่ม ชายที่มีเพศสัมพันธ์กับชาย (MSM) มีอัตราการแพร่ระบาดเอชไอวีที่ 1.7% ในขณะที่ผู้ค้าบริการทางเพศมีอัตราการแพร่ระบาดที่สูงกว่านั้นคือประมาณ 4.2%
เยาวชน โดยเฉพาะผู้ที่มีอายุระหว่าง 15-24 ปี ก็มีความเสี่ยงเช่นกัน และความรู้เกี่ยวกับการป้องกันเอชไอวียังมีช่องว่างอย่างน่าตกใจ ปัจจัยเหล่านี้ทำให้ประเทศไทยกลายเป็นศูนย์กลางในการป้องกันเอชไอวีอย่างต่อเนื่อง ทำให้การติดเชื้อเอชไอวีพบได้ค่อนข้างบ่อยในประเทศไทยเมื่อเทียบกับประเทศอื่นๆ แม้ว่าอัตราการติดเชื้อจะลดลงก็ตาม โดยอัตราการติดเชื้อเอชไอวีในผู้ใหญ่อยู่ที่ 1.1% โดยผู้ชายอายุระหว่าง 15-49 ปีมีอัตราการติดเชื้อสูงกว่า (1.3%) ผู้หญิง (0.9%)
อย่างไรก็ตาม ผู้ติดเชื้อ HIV จำนวนมากยังคงไม่ทราบสถานะของตนเอง ซึ่งถือเป็นความท้าทายในการป้องกันและรักษาที่มีประสิทธิผล หากไม่ได้รับการรักษา เชื้อ HIV อาจลุกลามกลายเป็นโรคเอดส์ (Acquired Immunodeficiency Syndrome) ซึ่งเป็นโรคติดเชื้อที่รุนแรงที่สุด และโรคเอดส์จะทำลายระบบภูมิคุ้มกันอย่างรุนแรง ส่งผลให้เกิดการติดเชื้อฉวยโอกาสและมะเร็งบางชนิด
ดังนั้น การป้องกันการติดเชื้อและการตรวจอย่างสม่ำเสมอ จึงถือเป็นสิ่งสำคัญสำหรับการวินิจฉัยและการรักษาในระยะเริ่มต้น แพทย์ทั่วไปสามารถให้บริการตรวจและให้คำปรึกษา เพื่อช่วยให้ผู้ป่วยเข้าใจถึงความเสี่ยงและความสำคัญของการทราบสถานะการติดเชื้อเอชไอวีของตนเองได้ ลดการตีตราและส่งเสริมพฤติกรรมที่ปลอดภัย และลดการติดเชื้อ HIV รายใหม่ในประเทศไทยต่อไป