นางสาวปฤณัต อภิรัตน์ กงสุลใหญ่ ณ นครเซี่ยงไฮ้ กล่าวว่า เพื่อต่อยอดโอกาสรับปีที่ 50 ความสัมพันธ์ทางการทูต ส่งเสริมความร่วมมือไทย-จีน ด้านการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ ได้จัดกิจกรรมพิเศษขึ้นในงาน Health Talk ภายใต้หัวข้อ “Wellness Hub Thailand: The Future of Global Wellness” เพื่อส่งเสริมแนวคิดด้านการดูแลสุขภาพแบบองค์รวม และนำเสนอศักยภาพของประเทศไทย ในฐานะศูนย์กลางสุขภาพระดับโลก หรือ “Wellness Hub Thailand” ขยายความร่วมมือด้านสุขภาพระหว่างประเทศ เสริมสร้างเครือข่ายสุขภาพเชิงยุทธศาสตร์ และขับเคลื่อนบทบาทของประเทศไทยด้านอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพบนเวทีโลก
โดยมีวัตถุประสงค์แลกเปลี่ยนองค์ความรู้และเสริมสร้างความเข้าใจเกี่ยวกับการดูแลสุขภาพแบบองค์รวม รวมถึงแนวคิดการท่องเที่ยวสมัยใหม่ ที่มุ่งเน้นการมีสุขภาวะที่ดีทั้งทางกาย ใจ และจิตวิญญาณ ตลอดจนส่งเสริมการใช้ชีวิตอย่างสมดุล ซึ่งล้วนเป็นหัวใจสำคัญของแนวคิด “Wellness Tourism”
สอดคล้องกับแนวทางการป้องกันโรคและการยกระดับคุณภาพชีวิตอย่างยั่งยืนในระยะยาว เน้นย้ำถึงศักยภาพของประเทศไทยและโอกาส ในการขึ้นเป็นจุดหมายปลายทางด้านการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพของผู้คนทั่วโลก รวมทั้งประชากรชาวจีน พร้อมระบุว่าการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพถือเป็นอีกหนึ่งกลไกสำคัญที่ทั้งไทยและจีนสามารถต่อยอดความร่วมมือได้อย่างรอบด้าน
นายแพทย์ตนุพล วิรุฬหการุญ ประธานคณะผู้บริหาร บีดีเอ็มเอส เวลเนส คลินิก และ บีดีเอ็มเอส เวลเนส รีสอร์ท บริษัท กรุงเทพดุสิตเวชการ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีการแพทย์ได้มีบทบาทสำคัญในการยืดอายุขัย (Lifespan) ของมนุษย์ โดยเฉพาะในด้านการรักษาโรคต่าง ๆ ซึ่งช่วยให้ผู้คนมีชีวิตยืนยาวขึ้นระหว่างปี 2543 - 2562 อายุขัยเฉลี่ยของประชากรโลกเพิ่มขึ้นจาก 66.8 ปี เป็น 73.4 ปี เพิ่มขึ้นถึง 6.6 ปี
อย่างไรก็ตาม “ช่วงชีวิตที่มีสุขภาพดี” หรือ Health Span ซึ่งหมายถึงระยะเวลาที่ทุกคนสามารถมีคุณภาพชีวิตที่ดีโดยไม่เจ็บป่วย กลับเฉลี่ยอยู่เพียง 63.7 ปีเพียงเท่านั้น นั่นหมายความว่าหลายคนใช้ชีวิตในภาวะสุขภาพถดถอยเกือบหนึ่งทศวรรษก่อนเสียชีวิต
การที่มนุษย์มีอายุขัยยืนยาวขึ้นส่งผลให้โลกกำลังก้าวเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ (Aging Society) โดยไม่อาจปฏิเสธได้ว่า ความชรานั้นมักมาพร้อมกับโรคต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง เช่น โรคไม่ติดต่อเรื้อรัง (NCDs) ซึ่งถือเป็นภัยสุขภาพที่สำคัญ โดยองค์การอนามัยโลก (WHO – World Health Organization) รายงานว่าในปี 2022 มีผู้คนทั่วโลกเสียชีวิตจากโรค NCDs กว่า 45 ล้านคนด้วยกัน
ในส่วนของประเทศจีน สถานการณ์ด้านสุขภาพกำลังก้าวเข้าสู่ความท้าทายที่สำคัญจากการเปลี่ยนแปลงสู่“สังคมผู้สูงอายุ” อย่างเต็มรูปแบบ โดยปัจจุบันมีประชากรจีนประมาณ 20% ที่มีอายุเกิน 60 ปี ซึ่งการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างประชากรนี้ได้นำไปสู่การตื่นตัวด้าน “การดูแลสุขภาพเชิงป้องกัน” อย่างแพร่หลาย โดยมุ่งหวังเพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตควบคู่ไปกับการมีอายุยืนยาวในสภาพสุขภาวะที่ดี
นายแพทย์ตนุพล กล่าวว่า ปัจจัยสำคัญที่กระตุ้นให้เกิดความตระหนักรู้ด้านการดูแลสุขภาพเชิงป้องกันในวงกว้างนั้น คือการเพิ่มขึ้นของโรคNCDS ที่ทวีความรุนแรงมากขึ้นทุกขณะอย่างมีนัยสำคัญ ในปี 2565 โรคไม่ติดต่อเรื้อรังได้กลายเป็นสาเหตุของการเสียชีวิตถึง 90% ของประชากรจีน คิดเป็นจำนวนกว่า 9,058,000 รายต่อปี หรือเฉลี่ยประมาณ 1,034 รายต่อชั่วโมง
โดย 6 โรคหลักที่เป็นสาเหตุการเสียชีวิตสูงสุด ได้แก่
“อีกหนึ่งประเด็นที่น่าเป็นห่วงคือภาวะโรคอ้วนในประเทศจีน ซึ่งพบว่าในปี 2022 ประชากรกว่า 38.9% หรือประมาณ 549,268,000 คน กำลังเผชิญกับภาวะโรคอ้วน ซึ่งไม่เพียงแค่เป็นปัญหาด้านรูปลักษณ์ภายนอกเท่านั้น แต่ยังเป็นสัญญาณเตือนถึงความเสี่ยงทางสุขภาพในระยะยาว
ทัังนี้ ภาวะโรคอ้วนยังเพิ่มความเสี่ยงต่อการเจ็บป่วยและการเสียชีวิต โดยเฉพาะในช่วงที่โลกเผชิญกับเหตุการณ์ไม่ปกติ เช่น การระบาดของโรค COVID-19 โดยผลการศึกษาพบว่า ผู้ที่มีภาวะความดันโลหิตสูงมีความเสี่ยงต่อการเจ็บป่วยรุนแรงหรือเสียชีวิตเพิ่มขึ้นถึง 2 เท่า เมื่อเทียบกับผู้ที่มีสุขภาพแข็งแรง ขณะที่ผู้ป่วยโรคหัวใจหรือเบาหวานมีความเสี่ยงเพิ่มขึ้นถึง 3 เท่า ผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมองมีความเสี่ยงเพิ่มขึ้นถึง 4 เท่า ใขขณะที่ผู้ที่มีภาวะโรคอ้วนมีความเสี่ยงในการเสียชีวิตสูงกว่าคนทั่วไปถึง 7 เท่าด้วยกัน”