กมธ.สาธารณสุข สว. ตั้ง อนุฯ สอบปม สปสช.ค้างจ่าย รพ.ทั่วประเทศ

21 ต.ค. 2568 | 07:40 น.
อัปเดตล่าสุด :21 ต.ค. 2568 | 07:44 น.

กมธ. สาธารณสุข วุฒิสภา เรียกร้องให้ สปสช. แสดงความรับผิดชอบต่อปัญหาค้างจ่ายงบประมาณให้โรงพยาบาลทั่วประเทศหลังเกิดวิกฤตสภาพคล่องทางการเงิน พร้อมตั้ง อนุฯ กมธ.ศึกษาการบริหารงบประมาณของสปสช. เร่งด่วน

KEY

POINTS

  • กมธ.สาธารณสุข วุฒิสภา แสดงความกังวลต่อปัญหา สปสช. ค้างจ่ายงบประมาณให้โรงพยาบาลทั่วประเทศ ซึ่งส่งผลให้โรงพยาบาลขาดสภาพคล่องและกระทบต่อการบริการประชาชน
  • ข้อมูลเรื่องการค้างจ่ายจากฝั่งโรงพยาบาลและ สปสช. ที่ออกมาปฏิเสธยังขัดแย้งกัน จึงจำเป็นต้องมีการตรวจสอบข้อเท็จจริงเพื่อให้เกิดความโปร่งใส
  • กมธ.สาธารณสุข สว. จึงมีมติตั้งคณะอนุกรรมาธิการขึ้นมาเพื่อศึกษาและตรวจสอบการบริหารงบประมาณของ สปสช. และผลกระทบต่อโรงพยาบาลโดยเร่งด่วน

21 ตุลาคม 2568 คณะกรรมาธิการการ (กมธ.) สาธารณสุข วุฒิสภา นำโดย นายประพนธ์ ตั้งศรีเกียรติกุล ประธานคณะกรรมาธิการฯ แถลงข่าวเรียกร้อง ขอให้ สปสช. แสดงความรับผิดชอบต่อปัญหาการค้างจ่ายงบประมาณให้โรงพยาบาลทั่วประเทศ หลังเกิดวิกฤตสภาพคล่องกระทบสิทธิประชาชน โดย กมธ. มีความห่วงใยอย่างยิ่งต่อสถานการณ์ที่โรงพยาบาลของรัฐทั่วประเทศประสบภาวะขาดสภาพคล่องทางการเงิน

เนื่องจากความล่าช้าและไม่ชัดเจนในการเบิกจ่ายงบประมาณของสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) ซึ่งกระทบต่อการจัดบริการ การจัดซื้อยา เวชภัณฑ์ และการบริหารค่าตอบแทนบุคลากรทางการแพทย์อย่างกว้างขวาง 

ประเด็นสำคัญที่ได้รับข้อร้องเรียนจากหลายโรงพยาบาล คือ ระบบบริหารงบประมาณของ สปสช.ที่ยังคงใช้แนวทางงบประมาณแบบปลายเปิดซึ่งมีลักษณะการจัดสรรและคำนวนงบประมาณย้อนหลังหลังจากสิ้นปีงบประมาณแล้วทำให้หน่วยบริการไม่สามารถวางแผนการเงินได้อย่างมีประสิทธิภาพและต้องรับภาระค่าใช้จ่ายล่วงหน้าโดยไม่ทราบจำนวนเงินที่จะได้จริงส่งผลให้หลายโรงพยาบาลประสบภาวะขาดสภาพคล่องทางการเงินและเกิดผลขาดทุนสะสมต่อเนื่อง 

ทั้งนี้ สปสช.ได้ออกมาชี้แจงว่า ข้อมูลยอดค้างจ่ายของโรงพยาบาลบางแห่งที่เผยแพร่ในสื่อไม่เป็นความจริง และยืนยันว่า การโอนงบประมาณดำเนินการตามรอบปกติ

กมธ.เห็นว่า ข้อมูลจากทั้งสองฝ่ายยังไม่สอดคล้องกันและจำเป็นต้องมีการตรวจสอบข้อเท็จจริงอย่างรอบด้านเพื่อให้เกิดความโปร่งใส เป็นธรรม และไม่กระทบต่อการให้บริการประชาชนในระบบหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า

นอกจากนี้ยังปรากฏข้อเท็จจริงเพิ่มเติมว่า ในปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 สปสช.ได้ดำเนินโครงการคลินิกชุมชนอบอุ่น และต่อมาปรับเป็นโครงการ 7 นวัตกรรมและมีการเบิกจ่ายงบประมาณเป็นจำนวนมากแต่พบว่า มีการทุจริตจากช่องว่างของระบบทำให้ สปสช. ต้องเรียกเงินคืนจากคลินิกชุมชนอบอุ่นหลายร้อยล้านบาท ประเด็นดังกล่าวสะท้อนถึงความเสี่ยงต่อการทุจริตและการใช้เงินไม่เป็นไปตามวัตถุประสงค์ของกองทุนหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ

คณะกรรมาธิการฯ จึงเห็นควรให้ สปสช.แสดงความรับผิดชอบอย่างเป็นรูปธรรม โดยดำเนินการเร่งด่วน ดังนี้ 

1. เปิดเผยข้อมูลงบประมาณที่ค้างจ่ายต่อโรงพยาบาลทุกแห่งอย่างโปร่งใส 

2. เร่งรัดการจ่ายเงินให้โรงพยาบาลที่มีภาระหนักโดยเฉพาะโรงพยาบาลศูนย์และโรงพยาบาลทั่วไประดับจังหวัด 

3. จัดทำรายงานสถานะทางการเงินของกองทุนหลักประกันสุขภาพแห่งชาติให้ชัดเจน

4. ยุติการให้ข้อมูลที่คลาดเคลื่อนหรือไม่ตรงกับข้อเท็จจริงในพื้นที่ 

ทั้งนี้ เพื่อให้ได้ข้อเท็จจริงที่ชัดเจน รอบด้าน และมีหลักฐานยืนยันได้ กมธ.จะได้ตั้งคณะอนุกรรมาธิการศึกษาการบริหารงบประมาณของ สปสช. และผลกระทบต่อโรงพยาบาลของรัฐขึ้นโดยเร่งด่วน เพื่อดำเนินการศึกษาและตรวจสอบเชิงระบบเพื่อให้แน่ใจว่า ไม่มีการละเลยต่อปัญหาที่ส่งผลต่อชีวิตและสิทธิของประชาชน