ส่องโอกาส “กัญชา-กัญชง-กระท่อม” ปักธงไทยสู่เทรนด์โลกด้านสุขภาพครบวงจร

17 ต.ค. 2568 | 22:00 น.
อัปเดตล่าสุด :17 ต.ค. 2568 | 22:00 น.

จับตาธุรกิจกัญชา-กัญชง-กระท่อม กับนโยบายรัฐและกฎหมายเพื่อการแพทย์ ยกระดับสมุนไพรไทยสู่มาตรฐานยาในตลาดโลก TIHTA ชี้ไทยเหนือกว่าคู่แข่ง โดยเฉพาะภูมิปัญญาดั้งเดิมและการเป็นผลิตภัณฑ์ทางเลือก ที่ตอบโจทย์เทรนด์โลกด้านสุขภาพ

KEY

POINTS

  • ประเทศไทยมีศักยภาพสูงในการเป็นผู้นำตลาดกัญชา กัญชง และกระท่อมทางการแพทย์ในระดับโลก จากข้อได้เปรียบด้านคุณภาพผลผลิตและภูมิปัญญาการแพทย์แผนไทย
  • ความสำเร็จของอุตสาหกรรมขึ้นอยู่กับการสร้างกรอบกฎหมายที่ชัดเจนและรัดกุม เพื่อควบคุมการใช้ประโยชน์ทางการแพทย์ สร้างมาตรฐาน และสร้างความเชื่อมั่นให้กับตลาด
  • ความร่วมมือระหว่างภาครัฐและเอกชนเป็นกุญแจสำคัญในการผลักดันอุตสาหกรรม ทั้งด้านการให้ความรู้ การลดขั้นตอนทางกฎหมาย และการส่งเสริมการส่งออกเพื่อสร้างเศรษฐกิจใหม่
  • ยังคงมีความขัดแย้งระหว่างกลุ่มที่ต้องการส่งเสริมเศรษฐกิจ กับกลุ่มแพทย์และภาคประชาชนที่กังวลผลกระทบจากการใช้เพื่อสันทนาการและเรียกร้องให้ควบคุมเข้มงวดขึ้น

ประเทศไทยกำลังอยู่ในช่วงเปลี่ยนผ่านของอุตสาหกรรมกัญชาทางการแพทย์ หลังจากการปลดล็อกกัญชาเพื่อสันทนาการสร้างทั้งโอกาสและความเสี่ยงให้กับธุรกิจและสังคม ผู้เชี่ยวชาญชี้ว่าการควบคุมอย่างเข้มงวดและการใช้ประโยชน์เพื่อการแพทย์เป็นกุญแจสำคัญในการสร้างมาตรฐานและความเชื่อมั่นให้ตลาดทั้งในประเทศและระดับสากล ขณะที่ผู้ประกอบการที่มีความชัดเจนสามารถพัฒนาผลิตภัณฑ์และขยายธุรกิจได้อย่างยั่งยืน การใช้พืชสมุนไพรไทยในระบบการแพทย์ไม่เพียงช่วยรักษาโรค แต่ยังเป็นโอกาสสร้างเศรษฐกิจใหม่ในกลุ่ม Health & Wellness หากภาครัฐและเอกชนร่วมมือกันและสร้างกรอบกฎหมายชัดเจน ประเทศไทยจะสามารถรักษาตำแหน่งผู้นำในตลาดกัญชาทางการแพทย์ระดับโลกได้

นายสมศักดิ์ กรีชัย รองอธิบดีกรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก เปิดเผย “ฐานเศรษฐกิจ” ว่า ปัจจุบันสถานการณ์เรื่องกัญชง กัญชา และกระท่อม ในประเทศไทย ค่อนข้างส่งผลกระทบในมิติของการเติบโตเชิงธุรกิจ ทั้งด้านกฎหมายและความไม่มั่นใจต่างๆ เพราะนโยบายหรือกฎหมายเกี่ยวกับเรื่องนี้ คือการใช้จำกัดอยู่แค่การแพทย์และสุขภาพเท่านั้น ภาพรวมอาจยังไม่ชัดเจนและครอบคลุมรอบด้าน โดยประกาศของแพทยสภา มีในมิติวิธีการใช้คือผู้ประกอบวิชาชีพ 7 วิชาชีพ, ต้องมีมาตรฐาน เช่น มาตรฐาน GACP (Good Agricultural and Collection Practices) สำหรับกัญชาทางการแพทย์เป็นเครื่องมือที่สำคัญในการปรับปรุงคุณภาพและความปลอดภัยของกัญชาที่นำไปใช้ในทางการแพทย์, กฎกระทรวง เป็นต้น

ส่วนแนวโน้มในอนาคตคาดว่าควรจะต้องมีพระราชบัญญัติออกมาเพิ่มเติมอย่างแน่นอน แต่ในกระบวนการค่อนข้างมีเงื่อนไขและระยะเวลาพอสมควร การขับเคลื่อนของภาครัฐตั้งแต่เริ่มต้นจนถึงช่วงปีที่ผ่านมา จึงมีประเด็นและข้อกำหนดที่ทำให้ผู้ประกอบการธุรกิจล้มหายไปเป็นจำนวนมาก ส่วนใหญ่เป็นกลุ่มที่ไม่มีความพร้อมและสร้างธุรกิจด้านนี้ขึ้นมาตามกระแสตลาด แต่กลุ่มผู้ประกอบการที่มีความชัดเจน มุ่งมั่นดำเนิินธุรกิจอย่างตรงไปตรงมากลับอยู่รอด สามารถพัฒนาผลิตภัณฑ์ต่างๆ ให้เติบโตได้

ส่องโอกาส “กัญชา-กัญชง-กระท่อม” ปักธงไทยสู่เทรนด์โลกด้านสุขภาพครบวงจร

สิ่งที่ต้องทำคือการปรับความเข้าใจกับทุกฝ่าย โดยเฉพาะผู้บริโภค ผู้ประกอบการ และการใช้ในทางการแพทย์ หากใช้ผลผลิตเหล่านี้อย่างถูกทาง ได้รับคำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญหรือแพทย์ จะเกิดประโยชน์สูงมาก เพราะผลิตภัณฑ์สามารถขึ้นทะเบียนยาและใช้รักษาโรคได้ รวมถึงส่งออกไปยังต่างประเทศได้ด้วยเช่นกัน

นายสมศักดิ์ กล่าวว่า เมื่อมองภาคเอกชนหรือผู้ประกอบการตัวจริงของอุตสาหกรรมนี้ จะเห็นว่ามีความแข็งแรงสามารถขับเคลื่อนธุรกิจได้ดี บทบาทและหน้าที่ของภาครัฐ อย่างกระทรวงสาธารณสุขก็ได้ขับเคลื่อนเรื่องนี้มาอย่างต่อเนื่อง สนับสนุนทั้งด้านข้อมูล กระบวนการทางกฎหมาย ลดขั้นตอนการขอใบอนุญาตให้รวดเร็วยิ่งขึ้น ลดกฎระเบียบต่างๆ ให้กระชับ ตลอดจนพยายามสร้างแพลตฟอร์มเพื่อเชื่อมกับตลาด และนำเรื่องนี้เข้าร่วมประชุมในการทำงานอื่นๆ ด้วย ซึ่งยังอยู่ในระหว่างขยายผลการดำเนินงาน

“ตอนนี้ประเทศไทยทั้งภาครัฐและเอกชน ได้จับมือกันเพื่อสร้างความเชื่อมั่นและมาตรฐานของผลิตภัณฑ์และกรรมวิธีการผลิตกัญชง กัญชา และกระท่อม ถือว่ามีความแข็งแรงมากในเชิงข้อมูล พร้อมก้าวไปสู่ตลาดโลก เพียงแค่รอนโยบายมาขับเคลื่อนให้ได้อย่างเต็มกำลัง เพื่อสร้างความเชื่อมั่นและสร้างความเข้าใจให้ได้รวดเร็วยิ่งขึ้น”

ส่องโอกาส “กัญชา-กัญชง-กระท่อม” ปักธงไทยสู่เทรนด์โลกด้านสุขภาพครบวงจร

ทั้งนี้ เชื่อว่าสังคมไทยรับรู้เรื่องเกี่ยวกับกัญชง กัญชา และกระท่อม ในระดับหนึ่ง เพราะเป็นอีกมิติภูมิปัญญาไทยที่มีมานานนับร้อยปี (ตำรับยาไทย) หากพัฒนาขยายผลในรูปแบบยาแผนปัจจุบัน รวมถึงส่งเสริมการใช้อย่างต่อเนื่อง จะช่วยยกระดับธุรกิจ Health และ Wellness ทดแทนการใช้ยานำเข้าจากต่างชาติในอนาคตได้ เพียงแต่ยังขาดตัวช่วยกำหนดแนวทางปฏิบัติต่างๆ และกลไกเครื่องมือที่ชัดเจน โดยเฉพาะเรื่องกฎหมายซึ่งเป็นทางออกที่ดีที่สุด

ด้าน นายภูมิใจ ขำภโต นายกสมาคมการค้าอุตสาหกรรมกัญชงไทย (TIHTA) กล่าวว่า ประเทศไทยสามารถปลูกกัญชง กัญชา และกระท่อม ได้ดีในระดับโลก ทั้งผลผลิตสูง คุณภาพดี ต้นทุนถูก สามารถควบคุมมาตรฐานได้ตั้งแต่ต้นน้ำจนถึงปลายน้ำและส่งออกได้ หากภาครัฐเปิดตลาดแบบ G2G หรือรัฐต่อรัฐ (Government to Government) กับประเทศที่ต้องการได้ จะเป็นการสร้างเศรษฐกิจใหม่และนำเงินเข้าประเทศมหาศาล เช่น ตลาดยุโรปมีความต้องการสูงมาก

ส่วนตลาดในประเทศก็มีแนวโน้มเติบโตเพิ่มขึ้น แต่สิ่งสำคัญที่ขาดหายไปคือระดับความรู้ความเข้าใจของผู้บริโภค ผลิตภัณฑ์ต่างๆ ควรปรึกษาแพทย์หรือหมอแผนไทยก่อน ส่วนบริษัทในภาคเอกชนที่ผลิตและขึ้นทะเบียนยาแล้วสามารถใช้ได้ ตามกฎหมายที่ออกมาเพื่อการแพทย์และสุขภาพ ไม่ใช่เพื่อสันทนาการ ซึ่งสถานะของประเทศไทยในระดับเอเชียเกี่ยวกับเรื่องนี้ ถือว่าเป็นผู้นำของประเทศอื่นๆ ในภูมิภาค โดยไทยได้เปรียบประเทศอื่น คือ 1. ผลิตภัณฑ์สมุนไพร (Herb Product) ของไทยเติบโตขึ้น (มูลค่าค้าปลีกปี 67 เพิ่ม 9%) 2. เรามีภูมิปัญญาและสูตรตำรับยาไทยดั้งเดิมมายาวนาน 3. เป็นผลิตภัณฑ์ทางเลือก (Natural Product) ซึ่งไทยมีความชัดเจนมากกว่าประเทศอื่น 4. ไทยสามารถนำ Thai traditional ไปผสม (Mix) กับสารอื่น ๆ ได้

ส่องโอกาส “กัญชา-กัญชง-กระท่อม” ปักธงไทยสู่เทรนด์โลกด้านสุขภาพครบวงจร

“ความสับสนด้านกฎหมายในไทยอาจเป็นมุมของผู้บริโภค แต่ในเชิงกฎหมายใหญ่ที่ควบคุมอุตสาหกรรมนั้นเอื้อต่อการค้าระหว่างประเทศอย่าง 100% เพราะพืชชนิดนี้สามารถตอบสนองเทรนด์โลกได้ทั้งวงจร การให้ความรู้ (educate) และสร้างความเข้าใจเกี่ยวกับตลาด ทั้งผู้บริโภคและผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมนี้ จะสร้างเศรษฐกิจ สร้าววิจัยและพัฒนาให้เติบโตได้อีกมาก”

ขณะเดียวกัน เครือข่ายแพทย์ นักวิชาการ และภาคประชาชน ต้านภัยยาเสพติด ได้ยื่นจดหมายเปิดผนึกต่อกระทรวงสาธารณสุข ขอให้ยกเลิกประกาศกระทรวงสาธารณสุข เรื่อง ระบุชื่อยาเสพติดประเภท 5 ฉบับลงวันที่ 8 กุมภาพันธ์ 2565 เพราะแม้จะควบคุมให้จำหน่ายได้เฉพาะกัญชาทางการแพทย์เท่านั้น แต่ยังปล่อยให้เกิดการสูบกัญชาเพื่อสันทนาการได้โดยไม่ผิดกฎหมายยาเสพติด และปลูกกัญชาได้อย่างเสรี จนเกิดปัญหาหลายประการ ทั้งการเจ็บป่วยจากการใช้กัญชาจนต้องเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาล การเสพติดกัญชา และการมีอาการวิกลจริตจากการใช้กัญชา

โดยในเร็วๆ นี้มีเครือข่ายบุคคลยื่นข้อเสนอให้กระทรวงสาธารณสุข 1.เปิดโอกาสให้มีผู้ซื้อและใช้กัญชาได้โดยไม่ต้องมีใบสั่งแพทย์ 2. ลดการตรวจวิเคราะห์เพื่อควบคุมมาตรฐานการปลูกกัญชา และ 3. ผ่อนคลายให้ร้านจำหน่ายกัญชาไม่ต้องเป็นสถานพยาบาล ทั้ง 3 ข้อนี้จะทำให้กัญชาทางการแพทย์กลายเป็นกัญชาเพื่อสันทนาการในรูปแบบแอบแฝง เป็นจุดตั้งต้นของปัญหาต่างๆ ตามมามากมาย

ข้อมูลผลกระทบด้านลบเป็นเชิงประจักษ์บ่งชี้ว่า หลังจากปลดกัญชาเสรี มีผู้ป่วยจากการใช้กัญชามากขึ้น ค่าใช้จ่ายที่ต้องใช้ในการรักษาพยาบาลสูงขึ้น และมีแนวโน้มที่จะส่งผลกระทบด้านลบต่อการท่องเที่ยวของประเทศ ดังนั้น ประเทศไทยจะต้องนำกัญชากลับไปเป็นยาเสพติด ภายใต้ประมวลกฎหมายยาเสพติด ซึ่งจะทำให้หยุดการใช้กัญชาเพื่อสันทนาการได้ทันที โดยยังไว้เพื่อประโยชน์ทางการแพทย์ได้

ดังนั้น เครือข่ายแพทย์ นักวิชาการ และภาคประชาชน ต้านภัยยาเสพติด จึงยื่นข้อเสนอ 3 ข้อ ถึงกระทรวงสาธารณสุขให้งดและไม่ควรทำตามข้อเสนอของเครือข่ายบุคคล คือ 1.ผู้ประสงค์เสพกัญชาเพื่อสันทนาการ สามารถซื้อกัญชาได้โดยง่าย เพราะไม่ต้องมีใบสั่งแพทย์ 2. การลดการควบคุมมาตรฐานการปลูกกัญชา เป็นการคุ้มครองผู้ปลูกกัญชา ลดการคุ้มครองผู้บริโภค และ 3.จะเกิดร้านขายกัญชาทั่วไปอย่างกว้างขวางอีกครั้ง และไม่อยู่ในระบบกัญชาทางการแพทย์ เพราะร้านจำหน่ายกัญชาไม่ต้องเป็นสถานพยาบาล

นอกจากนี้ ยังเสนอให้กระทรวงสาธารณสุข เสนอคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด ยกเลิกประกาศกระทรวงฉบับดังกล่าว เพื่อให้ประเทศไทยกลับไปเป็นกัญชาทางการแพทย์ที่รัดกุมอีกครั้ง ลดปัญหาจากกัญชาเพื่อสันทนาการให้หมดไป เพราะหากการไม่ควบคุมอย่างเคร่งครัดจะเพิ่มปัญหามากขึ้นในอนาคตอย่างแน่นอน