KEY
POINTS
นพ.ไพบูลย์ เอกแสงศรี นายกสมาคมโรงพยาบาลเอกชน เปิดเผย “ฐานเศรษฐกิจ” ว่า จากกรณีเรื่องค่ายาแพง ในกลุ่มโรงพยาบาลเอกชนได้ดำเนินการตามข้อกำหนดของภาครัฐเป็นปกติอยู่แล้ว ทั้งควบคุมราคายาภายในและรายงานราคายาส่งให้กระทรวงพาณิชย์ รวมถึงชี้แจงผู้ป่วยเรื่องราคายาซึ่งสามารถตรวจสอบได้ การร่วมกันหารือเรื่องนี้กับภาครัฐหรือทำ MOU กับกระทรวงพาณิชย์ (กำหนดวันที่ 7 ตุลาคม 2568) ที่ต้องการให้ผู้ป่วยเห็นรายละเอียดราคายาแต่ละตัวเพื่อความโปร่งใส
โดยให้ผู้ป่วยสามารถตัดสินใจได้ หากเห็นว่าราคาแพงกว่าก็สามารถเลือกไม่ซื้อและไปซื้อยาจากข้างนอกแทน โรงพยาบาลเอกชนยินดีเพื่อให้ผู้ป่วยได้รับผลประโยชน์สูงสุด แต่ปมปัญหาในเรื่องนี้ก็มีอยู่หลายประเด็น รายละเอียดราคายาแต่ละตัวของแต่ละโรงพยาบาลก็แตกต่างกัน
สาเหตุเกิดจากโครงสร้างราคายาของโรงพยาบาลเอกชนสูงกว่าโรงพยาบาลรัฐ มีความแตกต่างด้านต้นทุน ในโรงพยาบาลรัฐไม่มีต้นทุนด้านที่ดิน ตัวอาคาร เครื่องมือแพทย์ หรือทรัพยากรต่างๆ ส่วนใหญ่ใช้เงินจากงบประมาณรวมถึงการบริจาค และบุคลากรทั้งหมด (แพทย์และพนักงาน) ได้รับการจ่ายเงินจากกรมบัญชีกลาง ระบบคอมพิวเตอร์และสิ่งอื่น ๆ ก็อยู่ในงบประมาณของรัฐ ดังนั้นโครงสร้างเรื่องราคาจึงแตกต่างกันทุกส่วน ไม่เพียงเฉพาะค่ายาเท่านั้น
"เจาะลึงเรื่องโครงสร้างในโรงพยาบาลรัฐและโรงพยาบาลเอกชนจะแตกต่างกันมาก โรงพยาบาลรัฐมักคิดแค่ "โซหุ้ยปกติ" (Overhead Cost) เช่น บวกเพิ่มเพียง 10% จากราคายาที่ซื้อมา ยาหรืออุปกรณ์ก็มีราคาต่ำ บางอย่างราคาไม่ถึง 50 สตางค์ แหล่งผลิตยา (ต้นทาง) หรือบริษัทผู้ผลิตยาก็ขายยาให้โรงพยาบาลรัฐและโรงพยาบาลเอกชนต่างกัน"
บริษัทผู้ผลิตยาจะขายยาให้กับรัฐบาลในราคาที่ถูกกว่าโรงพยาบาลเอกชนโดยเฉลี่ย 20-50% เช่น ในกรณีของยาเคมีบำบัด ส่วนหนึ่งมาจากอำนาจในการซื้อ (Volume) เพราะรัฐบาลซื้อในปริมาณมาก (เป็นวอลลุ่มของทั้งประเทศ) ทำให้บริษัทผลิตยาให้ราคาพิเศษ ในขณะที่โรงพยาบาลเอกชนแต่ละแห่งซื้อในปริมาณที่ไม่เท่ากัน แม้ว่าโรงพยาบาลเอกชนที่อยู่เป็นเครือข่ายจะสามารถซื้อได้ถูกกว่าโรงพยาบาลเดี่ยวก็ยังมีราคาแพงกว่า
นอกจากนี้ ยังมีต้นทุนแฝงและมาตรฐานการดำเนินงานของโรงพยาบาลเอกชนที่สูงกว่าโรงพยาาลรัฐ ไม่ว่าจะเป็นด้านบุคลากรวิชาชีพ เช่น แพทย์ พยาบาล เภสัช รวมถึงกฎหมายบางอย่างทีกำหนดเฉพาะโรงพยาบาลเอกชน เช่น ต้องมีบุคลากรเฉพาะทาง อย่างพยาบาลอาชีวอนามัย (ซึ่งมีค่าตัวสูง) ในขณะที่โรงพยาบาลรัฐไม่ถูกบังคับให้มี
นพ.ไพบูลย์ กล่าวว่า ในโรงพยาบาลเอกชนขนาดใหญ่ก็ต้องมีเครื่องมือครบครัน มีแพทย์เฉพาะทางหลายสาขาพร้อมให้บริการตลอด 24 ชั่วโมง เช่น แพทย์เวชศาสตร์ฉุกเฉิน (EP/หมอวิกฤต), ศัลยกรรม, อายุรกรรม, สูติ, เด็ก, และวิสัญญีแพทย์ (หมอดมยา) ฯลฯ ต้องลงทุนในเครื่องมือแพทย์ราคาแพงโดยไม่มีงบประมาณจากรัฐบาล เช่น เครื่อง CT สแกน ราคา 10-20 ล้านบาท หรือเครื่อง MRI ราคา 30-50 ล้านบาท
จะเห็นได้ว่า ต้นทุนในกระบวนการ (Process) และการควบคุมคุณภาพ ตลอดจนมาตรฐานในการควบคุม (Standard ที่ control) แตกต่างจากการดำเนินธุรกิจทั่วไป และเรื่องยาที่กำลังเป็น
ประเด็น แท้จริงแล้วผู้ป่วยจะสามารถเลือกซื้อยาจากร้านขายยาภายนอกได้ แต่จะต้องรับผิดชอบต่อความเสี่ยงเอง ทั้งมาตรฐานคุณภาพ การควบคุมอุณหภูมิและความชื้น การตรวจสอบต่างๆ ซึ่งผู้ป่วยต้องยอมรับผลที่ตามมาด้วยตัวเอง
ด้าน นายรัฐพงษ์ อำพันวงษ์ ผู้ช่วยประธานคณะผู้บริหาร โรงพยาบาลกรุงเทพ กลุ่ม 1 และผู้อำนวยการโรงพยาบาลกรุงเทพอินเตอร์เนชั่นแนล กล่าวว่า ส่วนต่างของต้นทุนหรือความเหลื่อมล้ำของราคายา ระหว่างภาครัฐและภาคเอกชนส่วนใหญ่ประมาณ 20-30% และอาจสูงมากกว่านั้น เช่น ยาบางตัวขายให้ภาครัฐต้นทุน 5,000 บาท แต่ขายให้เอกชนที่ต้นทุน 10,000 บาท
ดังนั้น สถานะของโรงพยาบาลเอกชนไม่ได้เป็นผู้ผลิตยาเอง จำเป็นต้องซื้อจากริษัทผู้ผลิต แม้ตอนนี้ภาครัฐจะพยายามควบคุมราคายาในโรงพยาบาลเอกชน ก็เป็นเพียงการแก้ปัญหาที่ปลายเหตุ ซึ่งโรงพยาบาลเอกชนต้องปรับเพื่อความอยู่รอดให้องค์กรสามารถดำรงอยู่ได้ ดังนั้น หากภาครัฐควบคุมต้นทุนจากต้นทางบริษัทผู้ผลิตยาได้ เรื่องค่ายาระหว่างโรงพยาบาลรัฐและโรงพยาบาลเอกชนอาจไม่แตกต่างกันมากนัก