ท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ โตแรงทะลุ 6.7 แสนล้าน หนุน ‘Wellness & Spa’ ดันไทยสู่ World Wellness Tourism

02 ต.ค. 2568 | 19:35 น.

จับตาท่องเที่ยวเชิงสุขภาพไทยโกยรายได้ทะลุ 6.7 แสนล้านบาท สมาคมสปาไทยชี้ตลาดฟื้นตัวเต็มที่ช่วงไฮซีซัน กลุ่มนักเดินทางท่องเที่ยวกุญแจสำคัญกำลังจับจ่ายสูง แนะผู้ประกอบการชูจุดแข็งด้านการแพทย์ สมุนไพร และเทคโนโลยี เพิ่มศักยภาพการแข่งขันพร้อมดันไทยสู่ World Wellness Tourism

KEY

POINTS

  • ธุรกิจท่องเที่ยวเชิงสุขภาพของไทยคาดว่าจะมีรายได้รวมกว่า 6.7 แสนล้านบาทในปี 2568 จากผู้ประกอบการทั้งทางตรงและทางอ้อม
  • ธุรกิจสปาและบริการที่เกี่ยวข้อง เช่น นวดแผนไทย โยคะ และดีท็อกซ์ ได้รับความสนใจจากนักท่องเที่ยวเพิ่มขึ้น และเป็นหนึ่งในกลุ่มธุรกิจที่คาดว่าจะเติบโตสูงสุด
  • ผู้ประกอบการร่วมมือกันผลักดันให้ไทยเป็นจุดหมายปลายทางด้าน Wellness Tourism ระดับโลก โดยชูจุดแข็งด้านการแพทย์และสมุนไพรเพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยว

ข้อมูลล่าสุด จากกองเศรษฐกิจการท่องเที่ยวและกีฬา สำนักงานปลัดกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ระบุว่า ในปี 2568 ประเทศไทยมีผู้ประกอบการด้านธุรกิจท่องเที่ยวเชิงสุขภาพรวม 92,813 ราย ประมาณการรายได้กว่า 6.7 แสนล้านบาท แบ่งเป็น 2 กลุ่มใหญ่ คือ 1. ผู้ประกอบการธุรกิจให้บริการสุขภาพโดยตรง (Direct Service) 28,203 ราย มีมูลค่าตลาด 2.2 แสนล้านบาท 2. กลุ่มธุรกิจทางอ้อม (Indirect) เช่น ค้าปลีก, ขนส่ง, Tourism รวมกว่า 64,610 ราย มีมูลค่าตลาด 4.5 แสนล้านบาท

ขณะที่แนวโน้มธุรกิจด้านสุขภาพที่คาดว่าจะเติบโตสูงสุดในปี 2569 โดย 5 อันดับแรก ได้แก่

  1.  โรงแรม รีสอร์ท และห้องชุด
  2. บริการด้านอาหารในภัตตาคารและร้านอาหาร
  3. กิจกรรมโรงพยาบาล
  4. การขนส่งผู้โดยสารทางอากาศ และ
  5. การผลิตเครื่องสำอาง

นอกจากนี้ ยังมีบริการที่นักท่องเที่ยวให้ความสนใจเพิ่มขึ้น คือ บริการด้านธุรกิจสปา ได้แก่ นวดน้ำมัน, นวดฝ่าเท้า, นวดแผนไทย, บริการเสริมควบคู่ความงามและสุขภาพ เช่น สครับผิว โยคะ ดีท็อกซ์ ทำเล็บ และ แพคเกจสปาเพื่อสุขภาพ

นายสุนัย วชิรวราการ นายกสมาคมสปาไทย เปิดเผยกับ “ฐานเศรษฐกิจ” ว่า จากข้อมูลที่ปรากฏ จะเห็นว่าธุรกิจด้านเวลเนสของประเทศไทยมีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่องทุกปี แต่ในปีนี้ภาพรวมของตลาดอาจจะชะลอตัวเล็กน้อย เพราะได้รับผลกระทบจากกระแสข่าวด้านลบ ทำให้จำนวนนักท่องเที่ยวลดลง รายได้ในไตรมาส 2 และไตรมาส 3 หดตัว แต่คาดว่าในไตรมาส 4 ไปจนถึงไตรมาส 1 ของปี 2569 น่าจะมีแนวโน้มที่ดีขึ้นพร้อมนักท่องเที่ยวกลับมาเต็มอัตราเช่นเดิม ซึ่งถือว่าเป็นช่วงไฮซีซันสำหรับการท่องเที่ยวของประเทศไทย

ท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ โตแรงทะลุ 6.7 แสนล้าน หนุน ‘Wellness & Spa’ ดันไทยสู่ World Wellness Tourism

“ช่วงที่นักท่องเที่ยวหายไปจำนวนผู้ประกอบการไม่ได้ลดลง แต่เกิดการชะลอการลงทุนเพิ่มเติมเนื่องจากจำนวนลูกค้าลดลง แม้กระทั่งโรงแรม 5 ดาวหรือรีสอร์ทและสปาในโรงแรมก็ชะลอตัวเช่นกัน ซึ่งในสภาวะดังกล่าวก็มีความน่าสนใจ เมื่อผู้ประกอบการรายใหญ่ในธุรกิจเวลเนส อย่าง BDMS ได้เข้ามาสมัครเป็นสมาชิกสมาคมสปา ทั้งทำกิจกรรมร่วมกัน จัดงาน Thailand Power Wing Award ภายใต้แนวคิด Thailand Team เพื่อผลักดันให้ไทยติดอันดับโลกใน World Wellness Tourism แสดงให้เห็นถึงการโอกาสและการเติบโตอย่างชัดเจนในธุรกิจนี้”

สอดคล้องกับข้อมูลล่าสุดของ GWI (Global Wellness Institute) ที่ชี้ว่า Growth Rate ของ Tourism ในประเทศไทยค่อนข้างมีแนวโน้มดี หลังเหตุการณ์โควิด-19 เติบโตขึ้นกว่า 120% แต่ยังไม่กลับไปถึงจุดเดิมเท่ากับช่วงก่อนโควิด-19 โดยรายได้ส่วนใหญ่มาจากนักท่องเที่ยวต่างชาติ แบ่งเป็น 2 ส่วน คือ 1. Primary Wellness Traveler กลุ่มที่เดินทางเข้ามาเพื่อใช้จ่ายเรื่องสุขภาพโดยเฉพาะ 2. Secondary Wellness Traveler กลุ่มที่มาเที่ยวเป็นหลัก ใช้จ่ายเรื่องสุขภาพเป็นลำดับรอง ทั้งสองกลุ่มนี้มีค่าใช้จ่ายต่างกันประมาณ 1,000 เหรียญสหรัฐฯ หรือราว 30,000 บาท

โดยสัดส่วนของกลุ่ม Secondary Wellness Traveler เริ่มเพิ่มสูงขึ้นอย่างมีนัยยะสำคัญ ดังนั้น ผู้ประกอบการไทยควรเพิ่มบริการที่น่าสนใจให้มากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นปรับปรุงการให้บริการ ทำแพ็กเกจในระยะยาว ทำ Retreat Program หลายวัน หรือรวมบริการอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องเข้ามาเสริมเพื่อสร้าง Spending ที่สูงขึ้นในธุรกิจเวลเนสที่มีความหลากหลายครอบคลุมทั้งสปา, อาหาร, ที่พัก, กิจกรรมการออกกำลังกาย และ Treatment ทางการแพทย์

นายสุนัย กล่าวว่า ธุรกิจเวลเนสให้บริการด้านสุขภาพโดยตรง (Direct Service) และสร้างรายได้สูงสุดคือ โรงพยาบาล ถัดมาคือร้านขายยา การผลิตเครื่องสำอางและเภสัชภัณฑ์ การจัดนำเที่ยว สุดท้ายคือธุรกิจสปา ที่เริ่มมีผู้ประกอบการรายใหม่เพิ่มมากขึ้น แนวคิดและรูปแบบธุรกิจก็มีหลากหลาย สปาในโรงแรมระดับลักชัวรี มีแนวโน้มสูงมากในการทรานส์ฟอร์มไปเป็นเวลเนส ด้วยรูปแบบ Collaboration หรือ Partnership เช่น การจับมือกันระหว่าง BDMS กับโรงแรมศรีพันวา

“หากมองตลาด ‘Wellness & Spa’ ด้วยพื้นฐานเดิมของการเป็นสปา กลุ่มลูกค้าคนไทยยังคงเป็นเมนหลักที่สำคัญมาก ผู้ประกอบการต้องสร้างผลิตภัณฑ์หรือบริการสปาตอบโจทย์คนไทยให้ได้เป็นอันดับแรก เพราะถือว่าเรื่องนี้ยังใหม่สำหรับคนไทย ส่วนมากเมื่อพูดถึง ‘สปา’ จะไม่นึกถึง ‘การนวด’ แต่จะนึกถึงบริการประเภทความสวยความงาม, ขัดผิว, แช่ตัว ซึ่งการขับเคลื่อนการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพภายในประเทศ จะช่วยให้ธุรกิจอยู่รอดได้ในทุกช่วงวิกฤตแม้จะมีสัดส่วนอยู่เพียง 20% เมื่อเทียบกับลูกค้าต่างชาติที่มีมากถึง 80%”

ปัจจุบัน ลูกค้าต่างชาติในธุรกิจสปาอันดับ 1. คือ มาเลเซีย 2. จีน 3. สิงคโปร์ ส่วนใหญ่เป็นกลุ่ม South East Asia ในระดับ Mass Market เพราะสปาไทยมีจุดอ่อนเรื่องราคาเพียง 200-300 บาทต่อชั่วโมง สถิติการจ้างงานในสถานประกอบการก็มีทั้งประจำและฟรีแลนซ์ ต้องอิงกับการท่องเที่ยวและธุรกิจโรงแรม หากยกระดับให้อยู่ในเชิงสุขภาพได้ จะช่วยให้อุตสาหกรรมเติบโตอย่างแข็งแรงและไม่เจอปัญหาเรื่อง การขาดแคลนแรงงาน ภาพรวมของแรงงานในธุรกิจนี้จะดีขึ้นด้วย และในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา ผู้ประกอบการกว่า 40-50% ยอมรับว่านักท่องเที่ยวที่อยากได้บริการเชิงสุขภาพมีเพิ่มมากขึ้น

เทรนด์ที่น่าสนใจคือ การท่องเที่ยวเชิงฟื้นฟู จากลูกค้าเวลเนส ในกลุ่มชาวต่างชาติที่มีความตั้งใจและวางแผนชัดเจนในการมาท่องเที่ยวเพื่อสุขภาพ แตกต่างจากลูกค้าสปาที่อาจมาแบบไม่ได้ตั้งใจ และประเทศไทยถือว่ามีศักยภาพสูงในด้านนี้ สามารถพัฒนาหลักสูตรธุรกิจที่เน้นการดูแลในระยะยาวได้มากขึ้น ขณะเดียวกันด้าน Wellness Real Estate ก็กำลังเติบโตสูงมากในทั่วโลก แต่การลงทุนของประเทศไทยในด้านนี้ยังอยู่รั้งท้าย แม้การรับรู้และการใช้จ่ายของคนไทยจะเริ่มสูงขึ้นก็ยังไม่เทียบเท่ากับดูไบ, สิงคโปร์ หรือจีน ที่อยู่ใระดับอินเตอร์เนชั่นนอล

อย่างไรก็ตาม ธุรกิจด้านเวลเนสและสปาของไทยจะเติบโตอย่างแน่นอน คาดว่าภายใน 1-2 ปีนับจากนี้ รายได้จะไต่ระดับไปสู่จุดที่เทียบเท่าได้กับช่วงก่อนเกิดโควิด-19 และในเชิงของ Wellness Economy มีคู่แข่งในภูมิภาคเดียวกันที่กำลังมาแรงคือ อินโดนีเซีย และ ฟิลิปปินส์ ซึ่งได้เปรียบในฐานะประเทศขนาดใหญ่และมีจำนวนประชากรเป็นจำนวนมาก

ดังนั้น ประเทศไทยต้องชูจุดแข็งทั้งด้านการแพทย์ สมุนไพร และพัฒนาต่อยอดความคิดสร้างสรรค์ในด้านต่างๆ รวมถึงพัฒนาเทคโนโลยีให้มากขึ้น เพื่อให้แข่งขันได้อย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะแผนกลยุทธ์ในการพัฒนาการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพจากนโยบายจากภาครัฐ รวมถึงการสร้างมุมมองใหม่ใน Food Industry ให้ตอบโจทย์ด้านสุขภาพ เพื่อจะช่วยดึงนักท่องเที่ยวต่าชาติที่มีกำลังซื้อสูงให้กลับมาเที่ยวซ้ำได้