KEY
POINTS
ข้อมูลล่าสุด จากกองเศรษฐกิจการท่องเที่ยวและกีฬา สำนักงานปลัดกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ระบุว่า ในปี 2568 ประเทศไทยมีผู้ประกอบการด้านธุรกิจท่องเที่ยวเชิงสุขภาพรวม 92,813 ราย ประมาณการรายได้กว่า 6.7 แสนล้านบาท แบ่งเป็น 2 กลุ่มใหญ่ คือ 1. ผู้ประกอบการธุรกิจให้บริการสุขภาพโดยตรง (Direct Service) 28,203 ราย มีมูลค่าตลาด 2.2 แสนล้านบาท 2. กลุ่มธุรกิจทางอ้อม (Indirect) เช่น ค้าปลีก, ขนส่ง, Tourism รวมกว่า 64,610 ราย มีมูลค่าตลาด 4.5 แสนล้านบาท
ขณะที่แนวโน้มธุรกิจด้านสุขภาพที่คาดว่าจะเติบโตสูงสุดในปี 2569 โดย 5 อันดับแรก ได้แก่
นอกจากนี้ ยังมีบริการที่นักท่องเที่ยวให้ความสนใจเพิ่มขึ้น คือ บริการด้านธุรกิจสปา ได้แก่ นวดน้ำมัน, นวดฝ่าเท้า, นวดแผนไทย, บริการเสริมควบคู่ความงามและสุขภาพ เช่น สครับผิว โยคะ ดีท็อกซ์ ทำเล็บ และ แพคเกจสปาเพื่อสุขภาพ
นายสุนัย วชิรวราการ นายกสมาคมสปาไทย เปิดเผยกับ “ฐานเศรษฐกิจ” ว่า จากข้อมูลที่ปรากฏ จะเห็นว่าธุรกิจด้านเวลเนสของประเทศไทยมีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่องทุกปี แต่ในปีนี้ภาพรวมของตลาดอาจจะชะลอตัวเล็กน้อย เพราะได้รับผลกระทบจากกระแสข่าวด้านลบ ทำให้จำนวนนักท่องเที่ยวลดลง รายได้ในไตรมาส 2 และไตรมาส 3 หดตัว แต่คาดว่าในไตรมาส 4 ไปจนถึงไตรมาส 1 ของปี 2569 น่าจะมีแนวโน้มที่ดีขึ้นพร้อมนักท่องเที่ยวกลับมาเต็มอัตราเช่นเดิม ซึ่งถือว่าเป็นช่วงไฮซีซันสำหรับการท่องเที่ยวของประเทศไทย
“ช่วงที่นักท่องเที่ยวหายไปจำนวนผู้ประกอบการไม่ได้ลดลง แต่เกิดการชะลอการลงทุนเพิ่มเติมเนื่องจากจำนวนลูกค้าลดลง แม้กระทั่งโรงแรม 5 ดาวหรือรีสอร์ทและสปาในโรงแรมก็ชะลอตัวเช่นกัน ซึ่งในสภาวะดังกล่าวก็มีความน่าสนใจ เมื่อผู้ประกอบการรายใหญ่ในธุรกิจเวลเนส อย่าง BDMS ได้เข้ามาสมัครเป็นสมาชิกสมาคมสปา ทั้งทำกิจกรรมร่วมกัน จัดงาน Thailand Power Wing Award ภายใต้แนวคิด Thailand Team เพื่อผลักดันให้ไทยติดอันดับโลกใน World Wellness Tourism แสดงให้เห็นถึงการโอกาสและการเติบโตอย่างชัดเจนในธุรกิจนี้”
สอดคล้องกับข้อมูลล่าสุดของ GWI (Global Wellness Institute) ที่ชี้ว่า Growth Rate ของ Tourism ในประเทศไทยค่อนข้างมีแนวโน้มดี หลังเหตุการณ์โควิด-19 เติบโตขึ้นกว่า 120% แต่ยังไม่กลับไปถึงจุดเดิมเท่ากับช่วงก่อนโควิด-19 โดยรายได้ส่วนใหญ่มาจากนักท่องเที่ยวต่างชาติ แบ่งเป็น 2 ส่วน คือ 1. Primary Wellness Traveler กลุ่มที่เดินทางเข้ามาเพื่อใช้จ่ายเรื่องสุขภาพโดยเฉพาะ 2. Secondary Wellness Traveler กลุ่มที่มาเที่ยวเป็นหลัก ใช้จ่ายเรื่องสุขภาพเป็นลำดับรอง ทั้งสองกลุ่มนี้มีค่าใช้จ่ายต่างกันประมาณ 1,000 เหรียญสหรัฐฯ หรือราว 30,000 บาท
โดยสัดส่วนของกลุ่ม Secondary Wellness Traveler เริ่มเพิ่มสูงขึ้นอย่างมีนัยยะสำคัญ ดังนั้น ผู้ประกอบการไทยควรเพิ่มบริการที่น่าสนใจให้มากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นปรับปรุงการให้บริการ ทำแพ็กเกจในระยะยาว ทำ Retreat Program หลายวัน หรือรวมบริการอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องเข้ามาเสริมเพื่อสร้าง Spending ที่สูงขึ้นในธุรกิจเวลเนสที่มีความหลากหลายครอบคลุมทั้งสปา, อาหาร, ที่พัก, กิจกรรมการออกกำลังกาย และ Treatment ทางการแพทย์
นายสุนัย กล่าวว่า ธุรกิจเวลเนสให้บริการด้านสุขภาพโดยตรง (Direct Service) และสร้างรายได้สูงสุดคือ โรงพยาบาล ถัดมาคือร้านขายยา การผลิตเครื่องสำอางและเภสัชภัณฑ์ การจัดนำเที่ยว สุดท้ายคือธุรกิจสปา ที่เริ่มมีผู้ประกอบการรายใหม่เพิ่มมากขึ้น แนวคิดและรูปแบบธุรกิจก็มีหลากหลาย สปาในโรงแรมระดับลักชัวรี มีแนวโน้มสูงมากในการทรานส์ฟอร์มไปเป็นเวลเนส ด้วยรูปแบบ Collaboration หรือ Partnership เช่น การจับมือกันระหว่าง BDMS กับโรงแรมศรีพันวา
“หากมองตลาด ‘Wellness & Spa’ ด้วยพื้นฐานเดิมของการเป็นสปา กลุ่มลูกค้าคนไทยยังคงเป็นเมนหลักที่สำคัญมาก ผู้ประกอบการต้องสร้างผลิตภัณฑ์หรือบริการสปาตอบโจทย์คนไทยให้ได้เป็นอันดับแรก เพราะถือว่าเรื่องนี้ยังใหม่สำหรับคนไทย ส่วนมากเมื่อพูดถึง ‘สปา’ จะไม่นึกถึง ‘การนวด’ แต่จะนึกถึงบริการประเภทความสวยความงาม, ขัดผิว, แช่ตัว ซึ่งการขับเคลื่อนการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพภายในประเทศ จะช่วยให้ธุรกิจอยู่รอดได้ในทุกช่วงวิกฤตแม้จะมีสัดส่วนอยู่เพียง 20% เมื่อเทียบกับลูกค้าต่างชาติที่มีมากถึง 80%”
ปัจจุบัน ลูกค้าต่างชาติในธุรกิจสปาอันดับ 1. คือ มาเลเซีย 2. จีน 3. สิงคโปร์ ส่วนใหญ่เป็นกลุ่ม South East Asia ในระดับ Mass Market เพราะสปาไทยมีจุดอ่อนเรื่องราคาเพียง 200-300 บาทต่อชั่วโมง สถิติการจ้างงานในสถานประกอบการก็มีทั้งประจำและฟรีแลนซ์ ต้องอิงกับการท่องเที่ยวและธุรกิจโรงแรม หากยกระดับให้อยู่ในเชิงสุขภาพได้ จะช่วยให้อุตสาหกรรมเติบโตอย่างแข็งแรงและไม่เจอปัญหาเรื่อง การขาดแคลนแรงงาน ภาพรวมของแรงงานในธุรกิจนี้จะดีขึ้นด้วย และในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา ผู้ประกอบการกว่า 40-50% ยอมรับว่านักท่องเที่ยวที่อยากได้บริการเชิงสุขภาพมีเพิ่มมากขึ้น
เทรนด์ที่น่าสนใจคือ การท่องเที่ยวเชิงฟื้นฟู จากลูกค้าเวลเนส ในกลุ่มชาวต่างชาติที่มีความตั้งใจและวางแผนชัดเจนในการมาท่องเที่ยวเพื่อสุขภาพ แตกต่างจากลูกค้าสปาที่อาจมาแบบไม่ได้ตั้งใจ และประเทศไทยถือว่ามีศักยภาพสูงในด้านนี้ สามารถพัฒนาหลักสูตรธุรกิจที่เน้นการดูแลในระยะยาวได้มากขึ้น ขณะเดียวกันด้าน Wellness Real Estate ก็กำลังเติบโตสูงมากในทั่วโลก แต่การลงทุนของประเทศไทยในด้านนี้ยังอยู่รั้งท้าย แม้การรับรู้และการใช้จ่ายของคนไทยจะเริ่มสูงขึ้นก็ยังไม่เทียบเท่ากับดูไบ, สิงคโปร์ หรือจีน ที่อยู่ใระดับอินเตอร์เนชั่นนอล
อย่างไรก็ตาม ธุรกิจด้านเวลเนสและสปาของไทยจะเติบโตอย่างแน่นอน คาดว่าภายใน 1-2 ปีนับจากนี้ รายได้จะไต่ระดับไปสู่จุดที่เทียบเท่าได้กับช่วงก่อนเกิดโควิด-19 และในเชิงของ Wellness Economy มีคู่แข่งในภูมิภาคเดียวกันที่กำลังมาแรงคือ อินโดนีเซีย และ ฟิลิปปินส์ ซึ่งได้เปรียบในฐานะประเทศขนาดใหญ่และมีจำนวนประชากรเป็นจำนวนมาก
ดังนั้น ประเทศไทยต้องชูจุดแข็งทั้งด้านการแพทย์ สมุนไพร และพัฒนาต่อยอดความคิดสร้างสรรค์ในด้านต่างๆ รวมถึงพัฒนาเทคโนโลยีให้มากขึ้น เพื่อให้แข่งขันได้อย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะแผนกลยุทธ์ในการพัฒนาการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพจากนโยบายจากภาครัฐ รวมถึงการสร้างมุมมองใหม่ใน Food Industry ให้ตอบโจทย์ด้านสุขภาพ เพื่อจะช่วยดึงนักท่องเที่ยวต่าชาติที่มีกำลังซื้อสูงให้กลับมาเที่ยวซ้ำได้