รายงานจาก Global Wellness Institute หรือ GWI ระบุว่า อุตสาหกรรม Wellness Economy ของไทย มีมูลค่ากว่า 4.05 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือ ประมาณ 1.4 ล้านล้านบาท อยู่ในอันดับ 24 ของโลก จาก 218 ประเทศ เป็นอันดับที่ 9 ของเอเชียแปซิฟิก โดยการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพมาเป็นอันดับ 1 มีมูลค่ารวม 1.23 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือ ประมาณ 4.31 แสนล้านบาท เป็นอันดับที่ 15 ของโลก
ซึ่งนักท่องเที่ยวต่างชาติมีการใช้จ่ายในกิจกรรมและบริการด้านสุขภาพ เฉลี่ยในไทยประมาณ 1,735 ดอลลาร์ หรือ ประมาณ 60,650.60 บาทต่อทริป ส่วนของธุรกิจสปามีการเติบโต 9.4% มูลค่ารวม 1.59 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือ ประมาณ 5.59 หมื่นล้านบาท โดยสปาทางการแพทย์ (Medical Spa) เติบโตเพิ่มขึ้น 22% ชี้ให้เห็นถึงโอกาสและจุดแข็งของธุรกิจด้านสุขภาพรวมถึงการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพในไทย
นายสุนัย วชิรวราการ นายกสมาคมสปาไทย เปิดเผยว่า หากมองจากข้อมูลดังกล่าว ผนวกกับศักยภาพและความสามารถของผู้ประกอบการไทย การท่องเที่ยวเชิงสุขภาพถือว่ายังมีโอกาสเติบโตได้อีกมาก ดังนั้นผู้ประกอบการต้องยกระดับการให้บริการ พัฒนาการบริการใหม่ๆ ให้ครอบคลุมและหลากหลายขึ้น ซึ่งบริการด้านสุขภาพที่มีแนวโน้มดี
อาทิ สปาทางการแพทย์ (Medical Spa) ที่ให้บริการบำบัดและดูแลสุขภาพแบบผสมผสานด้านการแพทย์ โดยบุคลากรทางการแพทย์ การบริการด้านสุขภาวะทางจิต (Mental Wellness) การช่วยบำบัดด้านการนอนหลับ การดูแลสุขภาพด้วยอาหาร อสังหาริมทรัพย์เพื่อสุขภาพ บริการด้านการแช่น้ำพุร้อน ฯลฯ สิ่งเหล่านี้จะช่วยดึงดูดนักท่องเที่ยวให้เกิดความสนใจ มีการใช้จ่าย และอยู่ในประเทศไทยนานขึ้น ส่งผลดีต่อภาพรวมธุรกิจและยั่งยืนมากกว่าการแข่งขันด้านราคา
“การเติบโตของการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ (Wellness Tourism) กำลังเป็นที่สนใจของคนทั่วโลก ซึ่งแนวโน้มดังกล่าวเป็นผลบวกต่อธุรกิจสปา รวมถึงธุรกิจบริการด้านสุขภาพและธุรกิจบริการด้านการแพทย์ของไทยอย่างมาก เนื่องจากการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ มีมิติที่หลากหลาย ตั้งแต่การป้องกัน ส่งเสริม ดูแล รักษา รวมถึงสร้างความผ่อนคลายให้กับนักท่องเที่ยวและผู้มาใช้บริการ”
สำหรับกลุ่มนักท่องเที่ยวที่มีการใช้จ่ายในด้านการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพมากที่สุด คือ กลุ่มนักท่องเที่ยวอายุ 25-34 ปี ซึ่งให้ความสนใจในเรื่องสุขภาพ สิ่งแวดล้อมและความยั่งยืน ดังนั้นผู้ประกอบการจำเป็นต้องให้ความสำคัญในเรื่องดังกล่าว โดยปรับปรุงการดำเนินงานให้สอดคล้องกับความต้องการ ซึ่งจะเป็นแต้มต่อให้กับธุรกิจในการดึงดูดลูกค้ากลุ่มนี้ได้ ส่วนการพัฒนาผู้ประกอบการและผู้ให้บริการธุรกิจสุขภาพนั้น
ล่าสุดทางสมาคมฯ ได้มีการจับมือกับ อินฟอร์มา มาร์เก็ตส์ ในการจัดงาน Food & Hospitality Thailand (FHT) 2025 งานแสดงสินค้าพรีเมียมทางด้านอาหาร เครื่องดื่ม อุปกรณ์ และเทคโนโลยีสำหรับธุรกิจโรงแรม ร้านอาหาร บาร์ คาเฟ่ การจัดเลี้ยง และธุรกิจบริการแบบครบวงจร ต่อเนื่องเป็นปีที่ 31
ภายใต้แนวคิด “ยกระดับสู่ความเป็นเลิศในอุตสาหกรรมอาหารและการบริการ” ซึ่งมีสินค้าและบริการกว่า 2,600 แบรนด์จากบริษัทชั้นนำทั้งในไทยและต่างประเทศเข้าร่วม โดยงานจะมีขึ้นในระหว่างวันที่ 20-23 ส.ค. 2568 ณ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์
นอกจากนี้ยังมีอีก 2 งานระดับภูมิภาคที่จัดร่วมกัน ได้แก่ Hotel & Shop Plus Thailand งานแสดงสินค้าชั้นนำจากจีน งานสำหรับธุรกิจสิ่งปลูกสร้างและประกอบกิจการบริการ โดยได้รวบรวมซัพพลายเออร์ชั้นนำ ทั้งในด้านการออกแบบและตกแต่งโรงแรมและ ร้านอาหารมาไว้ภายในงาน
และ Hotelex Thailand งานแสดงสินค้านานาชาติจากจีน ที่นำเสนออุปกรณ์ในงานบริการ รวมถึงธุรกิจบริการอาหาร โดยงานนี้รวบรวมโซลูชันหลากหลายสำหรับอุตสาหกรรมโรงแรมและการจัดเลี้ยง ไม่ว่าจะเป็นอุปกรณ์ หรือเทคโนโลยีในอุตสาหกรรมอาหาร เครื่องดื่ม และการบริการ เป็นต้น
หน้า 16 หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจฉบับที่ 4,091 วันที่ 27 - 30 เมษายน พ.ศ. 2568