นพ.อนุพงษ์ ปริณายก ผู้อำนวยการสถาบันหัวใจและหลอดเลือด โรงพยาบาลพระรามเก้า เปิดเผยว่า โรคหัวใจเป็นสาเหตุการเสียชีวิตอันดับ 1 ของโลก และในประเทศไทยอยู่ในอันดับ 2 รองจากโรคมะเร็งทุกอวัยวะ โดยมีอัตราการเสียชีวิตเฉลี่ยสูงถึง 12% หรือประมาณ 2 รายต่อชั่วโมง อีกทั้งยังพบผู้ป่วยรายใหม่เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง ปีล่าสุดมีผู้ป่วยใหม่กว่า 4–5 แสนราย สะท้อนถึงความรุนแรงของโรคที่กำลังเพิ่มขึ้นในสังคมไทยในปัจจุบัน
1.ปัจจัยปัจจัยที่ควบคุมไม่ได้ เช่น พันธุกรรม (โดยเฉพาะผู้ที่มีประวัติคนในครอบครัวเสียชีวิตจากโรคหัวใจก่อนวัยอันควร), อายุที่มากขึ้น และในผู้หญิงวัยหมดประจำเดือน
2. ปัจจัยที่ควบคุมได้ ได้แก่ โรคเบาหวาน ความดันโลหิตสูง ไขมันในเลือดสูง การบริโภคไขมันทรานส์ (ที่พบในเบเกอรี่ ครีมเทียม อาหารทอด), ภาวะอ้วน การสูบบุหรี่ (รวมถึงบุหรี่ไฟฟ้า), การดื่มแอลกอฮอล์มากเกินไป การไม่ออกกำลังกาย ความเครียด พักผ่อนไม่เพียงพอ และการละเลยควบคุมโรคประจำตัว ซึ่งล้วนเป็นปัจจัยเสี่ยงที่กระตุ้นให้โรคหัวใจกำเริบหรือรุนแรงขึ้นอย่างรวดเร็ว
นายแพทย์อนุพงษ์ กล่าวว่า แนะนำให้เริ่มตรวจสุขภาพหัวใจอย่างสม่ำเสมอในกลุ่มผู้ชายอายุ 40 ปีขึ้นไป และผู้หญิงตั้งแต่อายุ 50 ปี โดยเฉพาะผู้ที่มีประวัติครอบครัวเป็นโรคหัวใจ โดยการตรวจประกอบด้วยตรวจเลือดระดับน้ำตาลและไขมันในเลือด การตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจ (EKG), การเดินสายพาน (Exercise Stress Test) การตรวจเอคโคหัวใจ (Echocardiogram) เพื่อดูโครงสร้างและการทำงานของหัวใจ
นอกจากนี้ ยังมีการตรวจเอกซเรย์หินปูนในหลอดเลือดหัวใจ (Calcium Score CT Scan) ซึ่งสามารถบ่งบอกระยะเริ่มต้นของไขมันในหลอดเลือดหัวใจได้อย่างแม่นยำ ซึ่งหินปูนในหลอดเลือดหัวใจ เปรียบได้กับยอดภูเขาน้ำแข็งที่โผล่พ้นน้ำ ยังมีไขมันที่ซ่อนอยู่ภายในหลอดเลือดอีกมาก รวมทั้งยังมีการตรวจ MRI หัวใจ
"แม้เทคโนโลยีจะก้าวหน้า เช่น การทำบอลลูน ใส่ขดลวด ผ่าตัดบายพาส หรือเปลี่ยนลิ้นหัวใจผ่านสายสวนแบบ TAVR แต่โรคหัวใจส่วนใหญ่ไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ การรักษาเป็นเพียงการแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้า หากไม่ดูแลรักษาควบคุมปัจจัยเสี่ยงอย่างจริงจัง ก็มีโอกาสกลับมาเป็นซ้ำได้อีก จึงจำเป็นต้องได้รับการติดตามปัญหาจากแพทย์อย่างต่อเนื่อง"
ดังนั้น การให้บริการจากบุคคลากรทางแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านหัวใจกว่า 30 คน ของโรงพยาบาลพระรามเก้าจึงเป็นอีกหนึ่งทางเลือก สำหรับผู้ป่วยโรคหัวใจหรือผู้ที่มีอาการสงสัยว่าป่วย ซึ่งจะช่วยลดอัตราการเสียชีวิตจากโรคหัวใจได้ ด้วยบริการตลอด 24 ชั่วโมง ทั้งเคสทั่วไปและซับซ้อนอย่างครบวงจร
เพราะการดูแลสุขภาพหัวใจไม่ใช่แค่รักษาเมื่อเกิดโรค แต่คือการป้องกันไม่ให้เกิดโรคตั้งแต่แรก ดังนั้น ไม่ควรรอให้มีอาการก่อนแล้วจึงค่อยดูแลที่อาจไม่ทันท่วงที และอย่านิ่งนอนใจหากรู้สึกผิดปกติกับสัญญาณเตือนของภัยเงียบที่อาจเสี่ยงต่อชีวิตได้