"ไขมัน" พาหนะขนส่งคอเลสเตอรอล ต้นเหตุ "โรคหัวใจและหลอดเลือด"

13 มิ.ย. 2568 | 09:23 น.
อัปเดตล่าสุด :13 มิ.ย. 2568 | 10:44 น.

รู้จักกับ "ไขมัน" LDL พาหนะใช้ขนส่งคอเลสเตอรอลในกระแสเลือด หากมีมากเกินไปอาจนำไปสู่ความเสี่ยงของโรคหัวใจและหลอดเลือด

นพ. พิจักษณ์ วงศ์วิศิษฎ์ แพทย์ผู้อำนวยการ W9 Wellness Center กล่าวว่า  LDL (Low-density Lipoprotein) หรือที่หลายคนเข้าใจว่าเป็น “ไขมันเลว” มีความสำคัญเป็นโปรตีน “พาหนะ” ขนส่งที่ลำเลียงคอเลสเตอรอลในกระแสเลือด มีบทบาทสำคัญในการลำเลียงคอเลสเตอรอลไปยังเซลล์ต่างๆ เพื่อใช้ในการสร้างฮอร์โมน วิตามินดี เยื่อหุ้มเซลล์ ปลอกหุ้มเส้นใยประสาท การผลิตน้ำดี และโคเอนไซม์คิวเทน ซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระสำคัญที่เกี่ยวข้องกับการผลิตพลังงานในระดับเซลล์ 

"ไขมัน" พาหนะขนส่งคอเลสเตอรอล ต้นเหตุ "โรคหัวใจและหลอดเลือด"

ทั้งยังทำหน้าที่ลำเลียงคอเลสเตอรอลจากตับไปยังเซลล์ต่าง ๆ ทั่วร่างกาย เพื่อใช้ในการสร้างเซลล์ ฮอร์โมน และวิตามินดี ในขณะที่คอเลสเตอรอลเป็นสารไขมันชนิดหนึ่ง (Steroid Lipid) มีบทบาทสำคัญต่อร่างกายเช่นกัน แต่หากมีระดับของทั้ง LDL และคอเลสเตอรอล มากเกินไป อาจส่งผลให้เกิดการสะสมของไขมันในผนังหลอดเลือด นำไปสู่ความเสี่ยงของโรคหัวใจและหลอดเลือด

เป็นที่ถกเถียงกันในวงกว้าง เกี่ยวกับปัจจัยเสี่ยงที่สำคัญกับโรคหลอดเลือดหัวใจ ซึ่งเป็นสาเหตุการตายอันดับหนึ่งของโลก และมีรายละเอียดเชิงลึกค่อนข้างมาก ในแง่งานวิจัยก็ยังคงค้นพบมุมมองและกลไกใหม่ ๆ ที่น่าสนใจ ทั้งกลไกการทำงาน การเกิดโรค และในแง่การรักษาตีพิมพ์ออกมาอย่างต่อเนื่อง การทำความเข้าใจเกี่ยวกับ LDL และ คอเลสเตอรอล ในประเด็นสำคัญอาจเปลี่ยนมุมมองเดิมที่เคยมีต่อ LDL ที่มักถูกเรียกว่า ‘ไขมันเลว’ ไปอย่างสิ้นเชิง 

โดย LDL เป็นโปรตีนขนส่งไขมันที่ตับสร้างขึ้นมาเองและสร้างจากอาหาร ตับจะผลิต LDL มากหรือน้อยลงอาจจะมีผลจากปัจจัยทางพันธุกรรมและการใช้ชีวิต (Lifestyle) ร่วมด้วย เช่น ความเครียดเรื้อรัง คุณภาพการนอนหลับ และอายุที่มากขึ้นที่ส่งผลกับระดับฮอร์โมนเพศที่ลดลง เมื่อฮอร์โมนเพศลดลงตับก็จะกำจัด LDL ได้น้อยลง จึงมี LDL ค้างอยู่ในเลือดเพิ่มมากขึ้น ระดับการอักเสบสะสมหรือเรื้อรังในร่างกายโดยเฉพาะส่วนผนังหลอดเลือดก็เป็นอีกหนึ่งปัจจัย ดังนั้นการคงสมดุลฮอร์โมนให้ดีสมวัย จะส่งผลดีต่อสมดุลไขมันในเลือดรวมทั้งความเสี่ยงโรคหัวใจและหลอดเลือดได้ 

"ไขมัน" พาหนะขนส่งคอเลสเตอรอล ต้นเหตุ "โรคหัวใจและหลอดเลือด"

"หากเปรียบเทียบหลอดเลือดในร่างกายกับระบบท่อน้ำหรือสายยาง การที่ผนังหลอดเลือดมีการอักเสบเรื้อรังก็เปรียบเสมือนท่อน้ำที่มีตะกรัน (คราบปูนขาว) หรือสายยางที่มีคราบตะไคร่น้ำ ผนังหลอดเลือดที่ขรุขระ ไม่ลื่นเรียบ หรือเสียความยืดหยุ่น จะทำให้การไหลของเวียนของเลือดไม่มีประสิทธิภาพ เกิดความเสี่ยงต่อการเกาะติดและอุดตันได้ง่ายขึ้น สามารถตรวจคัดกรองได้จากระดับโปรตีนที่ตอบสนองต่อการอักเสบ ในสภาวะที่ร่างกายปกติไม่มีการเจ็บป่วย หรือการอักเสบเฉียบพลัน"

นพ. พิจักษณ์ กล่าวว่า ขนาดและจำนวนของ LDL มีผลกับความเสี่ยงโรคหัวใจและหลอดเลือด  โดย LDL ขนาดเล็ก และ LDL ที่มีขนาดใหญ่ อาจส่งผลให้มีความเสี่ยงด้านสุขภาพที่แตกต่างกัน การตรวจคัดกรองสุขภาพประจำปี จะช่วยให้แพทย์สามารถประเมินความเสี่ยงโรคหัวใจและหลอดเลือด รวมถึงความจำเป็นในการใช้ยารักษาได้อย่างแม่นยำมากยิ่งขึ้น ซึ่งเหมาะกับกลุ่มเสี่ยง เช่น ผู้มีประวัติครอบครัวเป็นโรคหัวใจ ผู้ป่วยเบาหวาน ความดันสูง คนที่ไขมันสูงมานาน ผู้สูบบุหรี่ หรือผู้ที่ไม่ออกกำลังกาย

โดยการใช้ยาลดไขมันถือว่าเป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพสูง มีความจำเป็นอย่างมากและสามารถช่วยลดอัตราการเสียชีวิตจากทุกสาเหตุในผู้สูงอายุ และผู้ที่มีความเสี่ยงสูงได้ แต่ยาทุกชนิดล้วนมีข้อดีและข้อเสีย การที่ทราบถึงข้อเสียและข้อควรระวังไว้ก่อนก็ถือเป็นสิ่งที่ดี ซึ่งข้อควรระวังเมื่อต้องใช้ยาลดไขมันกลุ่ม Statins ต่อเนื่อง คือ ผลข้างเคียงต่อกล้ามเนื้อ เช่น

ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ หรือกล้ามเนื้ออ่อนแรง อาจมีอาการปวดกล้ามเนื้อได้ประมาณ 5-10% ไปจนถึงกล้ามเนื้อสลายตัวรุนแรง ส่งผลต่อตับ เช่น ทำให้ค่าเอนไซม์ตับสูงขึ้น และควรสังเกตอาการ เช่น เหนื่อยง่าย เบื่ออาหาร หรือมีภาวะตัวเหลือง ตาเหลือง สัญญาณของปัญหาตับ บางกรณียังพบว่าอาจเพิ่มความเสี่ยงของโรคเบาหวานชนิดที่ 2 และอาจมีอาการทางระบบประสาท เช่น ความจำสั้นหรือสับสนชั่วคราว และมักดีขึ้นเมื่อหยุดยา

"ไขมัน" พาหนะขนส่งคอเลสเตอรอล ต้นเหตุ "โรคหัวใจและหลอดเลือด"

หากเน้นการดูแลสุขภาพแบบองค์รวม เพื่อควบคุมระดับไขมัน LDL โดยไม่พึ่งพายา ผ่านการปรับไลฟ์สไตล์ เช่น การเลือกอาหารแนว Whole-food Plant-based ลดไขมันอิ่มตัวและอาหารแปรรูป เสริมใยอาหาร และออกกำลังกายแบบ Anti-aging เพื่อกระตุ้นฮอร์โมนและเพิ่มไขมันดี (HDL) จะช่วยให้สุขภาพดีขึ้น

นอกจากนี้ ยังต้องเน้นการดูแลตับให้ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะระบบดีท็อกซ์เพื่อป้องกันการสะสมของ homocysteine ที่กระตุ้นการอักเสบเรื้อรัง ซึ่งเป็นปัจจัยเสี่ยงของโรคหัวใจและสมองเสื่อม พร้อมทั้งอาจพิจารณาการเสริมสารอาหารจากธรรมชาติ ที่สามารถช่วยลด LDL ได้อย่างปลอดภัย