จากงานเสวนาหัวข้อ "ข้อจำกัดของสิทธิประโยชน์ใน 3 กองทุน เสียงสะท้อนจากภาคส่วนต่าง ๆ" ได้มีการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นร่วมกันเพื่อทะลายข้อจำกัดสิทธิประโยชน์ 3 กองทุนสุขภาพสู่มาตรฐานที่เท่าเทียม" จัดโดย สภาองค์กรของผู้บริโภค ร่วมกับสำนักข่าว H Focus สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ(สสส.) และThe Better
เปิดเวทีเสวนา "ทลายข้อจำกัดสิทธิประโยชน์ 3 กองทุนสุขภาพ สู่มาตรฐานที่เท่าเทียม" ณ โรงแรมทีเค. พาเลซ แอนด์ คอนเวนชัน โดยมีวิทยากรเข้าร่วม ประกอบด้วย รศ.ภญ.ยุพดี ศิริสินสุข รองเลขาธิการสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) นพ.ณัฐ ศิริรัตน์บุญขจร ภาคประชาชนจากฝั่งประกันสังคม ทีมประกันสังคมก้าวหน้า นายสิทธิชัย งามเกียรติขจร ผู้อำนวยการกองสวัสดิการรักษาพยาบาล กรมบัญชีกลาง และ นพ.ถาวร สกุลพาณิชย์ กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการส่งเสริมการจัดสวัสดิการสังคมแห่งชาติ ร่วมเสวนาในครั้งนี้
ทั้งนี้ สำหรับสิทธิสุขภาพภาครัฐของไทยในปัจจุบัน จำแนกประจำเดือนกันยายน 2566 ระบุว่า ประชากรที่มีสิทธิหลักประกันสุขภาพ 66.896 ล้านคน สิทธิบัตรทอง 46.934 ล้านคน สิทธิประกันสังคม 12.865 ล้านคน สิทธิข้าราชการ/รัฐวิสาหกิจ 5.321 ล้านคน สิทธิพนักงานส่วนท้องถิ่น 0.681 คน และสิทธิครูเอกชน 0.081 ล้านคน
รศ.ภญ.ยุพดี รองเลขาธิการ สปสช. กล่าวถึงข้อจำกัดของสิทธิหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ หรือ สิทธิบัตรทองว่าที่เห็นชัด คือ ตัวระบบบริการ โดยเฉพาะพื้นที่กรุงเทพมหานครซึ่งสะท้อนปัญหาได้ชัดเจน ยิ่งเมืองใหญ่ ๆ ที่กระทรวงสาธารณสุขไม่ได้ครอบคลุมดูแล รวมถึงค่าตอบแทนเป็นตัวชี้นำว่า จะดูแลผู้ป่วยอย่างไร เป็นจุดอ่อนตั้งแต่ปฐมภูมิ ขณะที่ทุติยภูมิก็ไม่เพียงพอเพราะเมื่อหน่วยบริการปฐมภูมิจำเป็นต้องส่งต่อจะข้ามไประดับตติยภูมิเลย ทำให้ค่าใช้จ่ายสูง แม้จะเน้นการเข้าถึงได้จริงแต่ไม่ได้สร้างระบบบริการที่เชื่อมโยงกัน นี่เป็นความเจ็บปวดของคนกทม.มาตลอด
"การไม่ส่งต่อของหน่วยบริการปฐมภูมิหลายแห่งมีการพัฒนาระบบบริการ หลายแห่งดูแลผู้ป่วยได้แต่ประชาชนยังไม่ค่อยเชื่อมั่น เป็นอีกจุดที่ต้องกลับมาฟื้นฟูระบบแพทย์ใกล้บ้านใกล้ใจให้มากขึ้น ส่วนการกำหนดชุดสิทธิประโยชน์แต่ละกองไม่เท่ากันจนกลายเป็นดรามานั้น เช่น ประกันสังคมไม่เท่าบัตรทอง เป็นเพราะบัตรทองเดินหน้าไปก่อนแต่ประกันสังคมกำลังพัฒนาตาม จริง ๆ แล้วบัตรทองมีอำนาจการต่อรองสามารถช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายได้ ประเด็นสำคัญ คือ จะทำอย่างไรให้ 3 กองทุนมาร่วมกันในกระบวนการจัดซื้อจัดหาเรื่องนี้
วันนี้หน่วยบริการมองว่า บัตรทองจ่ายให้น้อย ก็ต้องมาดูว่า ต้นทุนจริงเท่าไร ซึ่งจากข้อมูลที่ สปสช.ได้มาจากการคำนวณ มาจากคำนวณปีที่ผ่านมาเพื่อของบขาขึ้นอาจเป็นจุดอ่อนที่เราไม่สามารถคำนวณแบบเรียลไทม์ได้ ทำให้ต้องใช้ข้อมูลของเก่าบวก 2 ปีที่ผ่านมา ดังนั้น หาก 3 กองทุนบวก 1 กองทุนคืนสิทธิ มาคุยกันเรื่องฐานงบประมาณ ต้นทุนจริงเพื่อให้เกิดความเป็นธรรมกับหน่วยบริการมากขึ้น
ด้าน นพ.ณัฐ ทีมประกันสังคมก้าวหน้า ภาคประชาชนในฝั่งประกันสังคม กล่าวว่า เรื่องสิทธิประโยชน์ทางการแพทย์เป็นอำนาจของคณะกรรมการการแพทย์ (บอร์ดแพทย์) แต่งตั้งโดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ซึ่งมีอำนาจเทียบเท่าคณะกรรมการประกันสังคมชุดใหญ่แต่ปัญหาของบอร์ดแพทย์ที่ผ่านมา คือ เข้าถึงยาก แทบไม่สามารถเข้าร่วมหรือเสนอข้อคิดเห็นผ่านช่องทางปกติใด ๆ ได้ จะมีการปรับเปลี่ยนสิทธิใด ๆ กลายเป็นว่า ต้องร้องเรียน ต้องออกสื่อ สำหรับกำแพงที่รอการพัฒนาของประกันสังคม
สิ่งสำคัญ คือ การมีส่วนร่วมของผู้ประกันตนที่ปัจจุบันค่อนข้างยากมาก ไม่มีช่องทางให้เสนอแนะ หรือเพิ่มเติมสิทธิประโยชน์ใด ๆ การมีส่วนร่วมของนักวิชาการก็ยาก เวลาต้องการทำข้อมูลวิชาการ ข้อมูลวิจัย หลายครั้งถูกปฏิเสธ ดังนั้น เมื่อไม่มีข้อมูลทางวิชาการก็จะส่งผลต่อการออกแบบระบบที่เหมาะสมได้ รวมถึงบุคลากรของสำนักงานประกันสังคมก็จำกัด ขาดแคลนบุคลากรอีกมาก เรื่องการบูรณาการร่วมกับกระทรวงสาธารณสุข และกองทุนอื่น ๆ ยังไม่เต็มที่ เช่น กระทรวงสาธารณสุข ไม่ค่อยเห็นภาพความร่วมมือกับกองทุนอื่น มีแต่บัตรทอง รวมถึงเรื่องหลักเกณฑ์การพิจารณาสิทธิประโยชน์ต้องชัดเจนและโปร่งใส
นายสิทธิชัย ผอ.กองสวัสดิการรักษาพยาบาล กรมบัญชีกลาง ได้อธิบายว่า ต้องเข้าใจเบื้องต้นก่อนว่า สิทธิแต่ละกองทุนไม่ได้เกิดขึ้นพร้อมกัน แหล่งที่มาของกองทุน แหล่งงบของกองทุนแตกต่าง ทำให้กลไกการเบิกจ่ายไม่เหมือนกันแต่หากการบริการของหน่วยบริการ โรงพยาบาลเหมือนกันหมด มีมาตรฐานการรักษาเหมือนกันแต่ละกองทุนจะไม่ต้องมาเถียงกันว่า สิทธิไหนดีกว่ากัน
ดังนั้น หากระบบบริการของรัฐดี หน่วยบริการปฐมภูมิดูแลคนไทยใกล้บ้านใกล้ใจอย่างดี มีการส่งต่อไปยังหน่วยบริการตามความเหมาะสมหากกลไกสอดประสานกันหมด กลไกการจ่ายยอมตามจ่ายได้ก็จะไม่มีปัญหา แต่ปัญหา คือ วันนี้ตามไปจ่ายไม่ได้ อย่างไรก็ดี เรื่องการควบคุมค่ารักษาพยาบาลให้เหมาะสมแต่ละกองทุนนั้น ขณะนี้รัฐบาลได้แต่งตั้งคณะกรรมการพิจารณาค่ารักษาพยาบาลของสวัสดิการรักษาพยาบาลของประเทศไทย ซึ่งมีการประชุมและออกแนวทางมาดำเนินการแล้ว
ด้าน นพ.ถาวร กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการส่งเสริมการจัดสวัสดิการสังคมแห่งชาติ กล่าวว่า สิ่งที่กำลังมานั่งเถียงกันอยู่ในเขาวงกต คือ เราควรเป็นกองทุนเดียว หรือหลายกองทุน เราควรก้าวข้ามเรื่องนี้เพราะไม่ว่าแบบใด ไม่มีอะไรการันตีว่า จะลดความเหลื่อมล้ำได้จริง สิ่งสำคัญ คือ ต้องทำอย่างไรตามข้อกฎหมายที่มีอยู่ให้เกิดความเป็นธรรม คือ ต้องมีแพคเกจเหมือนกัน วิธีจ่ายเหมือนกัน โรงพยาบาลถึงจะรักษาเหมือนกัน นพ.ถาวร กล่าว พร้อมเสนอว่า เมื่อครั้งทำหน้าที่ในคณะกรรมการปฏิรูปประเทศมีการศึกษาเรื่อง โมเดลขนมชั้น โดยการจำแนกชุดสิทธิประโยชน์ออกเป็นส่วน ๆ ดังนี้
ชั้นที่ 1 สิทธิประโยชน์พื้นฐานด้านการส่งเสริมสุขภาพ ป้องกันควบคุมโรค รักษาพยาบาล และฟื้นฟูสภาพ ที่จำเป็นและคุ้มค่า เพื่อให้ประชาชนสามารถเข้าถึงได้ สอดคล้องกับมาตรา 5 ของ พ.ร.บ.หลักประกันสุขภาพแห่งชาติ พ.ศ.2545
ชั้นที่ 2 บริการทางการแพทย์อื่น ๆ ที่เป็นส่วนเสริมที่กองทุนแต่ละกองทุนสามารถเลือกนำมาเสริมให้แก่กลุ่มเป้าหมายของตนได้ตามความเหมาะสม ซึ่งสอดคล้องกับมาตรา 9 และ 10 ของ พ.ร.บ.หลักประกันสุขภาพฯ
ชั้นที่ 3 บริการอื่น ๆ ที่เป็นส่วนเสริมตามความต้องการของคน รวมถึงความสะดวกสบาย เช่น การขอใช้ห้องพิเศษ อุปกรณ์ทางการแพทย์ หรือยาที่เกินกว่ากลุ่มที่กำหนดว่า จำเป็นและคุ้มค่า ซึ่งสอดคล้องกับมาตรา 9 และ 10 ของพ.ร.บ.หลักประกันสุขภาพฯ
นพ.ถาวร ย้ำชัดว่า ต้องก้าวข้ามกองทุนเดียวหรือหลายกองทุนแต่ต้องพูดกันให้ชัดว่า จะทำให้เกิดความเป็นธรรมได้อย่างไรซึ่งโมเดลขนมชั้นเป็นอีกแนวทางในการสร้างความเป็นธรรมและต้องมาร่วมกันสร้างสิทธิประโยชน์กลางของทุกกองทุน ภายใต้มาตรา 5 (ชั้นที่หนึ่งของโมเดลขนมชั้น) ที่มีราคาที่เหมาะสม และสร้างกลไกการปรับปรุงสิทธิประโยชน์กลางและราคาต่อเนื่องทุกปี ที่สำคัญต้องพัฒนากลไกกำกับอภิบาลให้ดีด้วย