สบส. หนุนไทย Medical & Wellness Hub ปลดล็อก "พ.ร.บ.อุ้มบุญ"

17 พ.ค. 2568 | 01:00 น.

สบส. ยกเครื่อง "พ.ร.บ.อุ้มบุญ" รองรับสมรสเท่าเทียม-ขยายโอกาสคู่สมรสต่างชาติ ตั้งเป้าดันไทยเป็น Medical and Wellness Hub สร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจให้ประเทศ

การส่งเสริมธุรกิจดูแลสุขภาพบุคคลและความงาม เป็น 1 ใน 7 นโยบายหลักของกระทรวงสาธารณสุขที่จะนำมาขับเคลื่อนเพิ่มศักยภาพเศรษฐกิจสุขภาพของไทยให้ก้าวไปสู่การเป็น "Medical and Wellness Hub" เพื่อสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจให้กับประเทศในปีนี้แต่การจะเดินไปถึงเป้าหมายที่วางไว้นั้นต้องอาศัยหลายส่วนประกอบกัน รวมถึงการปรับปรุงแก้ไขกฎหมายบางฉบับให้ทันสมัยและสอดรับกับบริบทของสังคมและโลกที่เปลี่ยนแปลงไปด้วย

ดร.นพ.ภานุวัฒน์ ปานเกตุ อธิบดีกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ (สบส.) เปิดเผยกับ "ฐานเศรษฐกิจ" ถึงความคืบหน้าและสาระสำคัญของการปรับปรุงแก้ไข ร่าง พ.ร.บ.คุ้มครองเด็กที่เกิดโดยอาศัยเทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์ทางการแพทย์ พ.ศ... หรือที่รู้จักและเรียกกันสั้น ๆ ว่า "พ.ร.บ.อุ้มบุญ" เพื่อให้สอดรับกับการมีบุตรตาม พ.ร.บ.สมรสเท่าเทียมที่มีผลบังคับใช้เมื่อวันที่ 23 มกราคม 2568

-ปรับแก้ไข พ.ร.บ. อุ้มบุญ

"การแก้ไขร่างกฎหมายฉบับนี้เป็นเพียงส่วนหนึ่งในการขับเคลื่อนแผนงานตามนโยบายการดูแลบุคคลและความงาม (Personal Care and Beauty) ที่ กรม สบส.เป็นผู้รับผิดชอบอยู่ โดยการผลักดันแก้ไข พระราชบัญญัติคุ้มครองเด็กที่เกิดโดยอาศัยเทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์ทางการแพทย์เพื่อให้สอดคล้องกับการแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ (ฉบับที่ 24) พ.ศ. 2567 ที่กำหนดให้สิทธิบุคคลที่มีความหลากหลายทางเพศ สามารถจดทะเบียนสมรสได้โดยชอบด้วยกฎหมายและสามารถขออนุญาตดำเนินการให้มีการตั้งครรภ์แทนได้"

ดร.นพ.ภานุวัฒน์ ปานเกตุ กล่าวก่อนอธิบายเพิ่มเติมว่า การเจริญพันธุ์ด้านเทคโนโลยีและการแพทย์ หมายถึง การรักษาภาวะมีบุตรยาก ส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะสามีเชื้อไม่แข็งแรงสามารถใช้เทคโนโลยีทางการแพทย์ผสมเทียม ถ้านำกลับไปท้องด้วยตัวเองอย่างนี้ไม่เรียกว่า "อุ้มบุญ" เช่นนี้เรียกว่า การทำ IVF (In Vitro Fertilization) หรือ อิ๊กซี่ (ICSI : Intracytoplasmic Sperm Injection) ซึ่งเป็นการท้องด้วยตัวเองเพียงแต่ช่วงของการผสมนำมาผสมข้างนอกแล้วนำใส่กลับไปในร่างกาย

ทั้งนี้ ข้อมูลของกระทรวงสาธารณสุข ระบุว่า เทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์มีมูลค่าตลาดเติบโตอย่างต่อเนื่อง สำหรับการปฏิสนธิภายนอกร่างกายหรือการทำเด็กหลอดแก้ว (In Vitro Fertilization -IVF) มีค่าใช้จ่ายอยู่ที่ 1-2.5 แสนบาทต่อครั้ง โอกาสสำเร็จ 60-70% มูลค่าตลาดอยู่ที่ 3,600 ล้านบาท ขณะที่การทำอิ๊กซี่ Intracytoplasmic Sperm Injection (ICSI) ค่าใช้จ่ายอยู่ที่ 2-3 แสนบาท/ครั้ง โอกาสสำเร็จ 80-90% มูลค่าตลาดอยู่ที่ 2,600 ล้านบาท คาดว่าในปี 2568 ตลาดเทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์ของไทยจะเติบโต 6.2%

- เปิดทางทุกเพศสภาพเข้าร่วมได้

ส่วนกรณีการอุ้มบุญ หมายความว่า ทั้งสามี ภรรยา รวมถึง ชาย-ชาย และ หญิง-หญิง ที่เป็นคู่สมรสกันไม่สามารถตั้งครรภ์ด้วยตัวเองได้จึงต้องอาศัยคนอื่นที่เป็นญาติ กรณีของคนไทยกฎหมายกำหนดว่า ต้องเป็นญาติ เช่น ลูกพี่ลูกน้อง คือ ต้องไม่ใช่ผู้สืบสันดานให้มาอุ้มท้องแทนแต่ว่าเชื้ออาจเป็นของเราเอง ไข่ของเราเอง หรือว่า ได้รับบริจาคมาผสม เป็นต้น

สำหรับ พ.ร.บ.ที่จะขอแก้ไขนี้มีการปรับแก้หลายเรื่องเพื่อเปิดโอกาสให้กับ "คู่สมรส" ซึ่งได้มีการปรับแก้แทนจากเดิมที่กำหนดให้เป็น "สามีภรรยา" กล่าวคือ ได้ทุกเพศสภาพที่เป็นคู่สมรสที่จดทะเบียนอย่างถูกต้อง นอกจากนี้ยังได้ปรับแก้กรณีที่เป็นคนไทยให้เป็น คู่สมรสที่เป็นชาวต่างชาติได้ จะ "สามี" เป็นชาวต่างชาติ หรือ "ภรรยา" เป็นชาวต่างชาติก็ได้แล้วให้คนไทยเป็นคนอุ้มท้องแทน

นอกจากนี้ได้เปิดกว้างให้กรณีที่ คู่สมรส เป็นชาวต่างชาติทั้งคู่สามารถเข้ามาใช้วิธี อุ้มบุญ แทนในประเทศไทยได้แต่จะต้องเป็นคนสัญชาติเดียวกับฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดของคู่สมรส จากเดิมที่กำหนดให้ต้องเป็นชาวต่างชาติที่แต่งงานกับคนไทย หรือ คนไทยที่เป็นคู่สมรสต่างชาติถึงจะทำได้ และเมื่อตั้งครรภ์แล้วก็สามารถเดินทางกลับประเทศได้ รวมถึงกรณีที่จากเดิมไม่ให้มีการนำออกไปซึ่งเซลล์ อสุจิ ตัวอ่อน หรือไข่ แต่หลังมีการแก้ไขจะมีเกณฑ์พิจารณาให้ "คู่สมรสต่างชาติ" ที่เข้ามาดำเนินการในประเทศไทย สามารถนำตัวอ่อนกลับไปประเทศตัวเองได้

สบส. หนุนไทย Medical & Wellness Hub ปลดล็อก "พ.ร.บ.อุ้มบุญ"

-เพิ่มบทลงโทษปรับไม่เกิน 2 แสนบาท

ทั้งนี้ จะมีคณะกรรมการคุ้มครองเด็กที่เกิดโดยอาศัยเทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์ทางการแพทย์ภายใต้ พ.ร.บ.อุ้มบุญ จะต้องพิจาณาออกหลักเกณฑ์ต่าง ๆ เช่น ประเทศปลายทางจะต้องมีกฎหมายคุ้มครองเด็ก มีกฎหมายรองรับสำหรับเด็กที่จะเกิดมาในลักษณะนี้ด้วย

อย่างไรก็ดี กรณีคู่สมรสเป็นชาวต่างชาติทั้งคู่จะให้หญิงไทยเป็นคนอุ้มบุญนั้น กฎหมายไม่อนุญาตให้ทำได้ กำหนดให้ต้องเป็นเครือญาติกัน ดังนั้น จึงต้องการมีการกำหนดหลักเกณฑ์ต่าง ๆ เอาไว้ด้วย เช่น ต้องมีเอกสารยืนยันจากสถานทูตว่า มีความเกี่ยวข้องกัน เป็นญาติกันและเป็นคู่สมรสกันจริง ๆ รวมถึงประเทศปลายทางต้องมีกฎหมายคุ้มครองเด็กที่เกิดจากการอุ้มบุญ และมีกฎหมายอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ด้วย

นอกจากนี้โรงพยาบาล หรือ สถานพยาบาลต่าง ๆ รวมถึงผู้ที่ประสงค์จะให้มีการอุ้มบุญต้องมีการยื่นขออนุมัติจากคณะกรรมการที่จะดูทุกมิติโดยจะอนุมัติเป็นราย ๆ ไป เพราะฉะนั้น ในแต่ละรายที่อนุญาตให้ทำอุ้มบุญจึงต้องมีหลักเกณฑ์การพิจารณาความพร้อม รวมถึงเรื่องของมนุษยธรรมจึงต้องมีกฎหมายฉบับนี้ขึ้นมา 

ทั้งยังมีบทลงโทษที่รุนแรงขึ้นในกรณีคนที่ทำผิดโดยเพิ่มบทบัญญัติสำหรับพนักงานเจ้าหน้าที่และผู้เกี่ยวข้อง เช่น แพทย์ผู้รับผิดชอบและนักวิทยาศาสตร์ที่ดูแลตัวอ่อน รวมทั้งยังเพิ่มอัตราโทษปรับ จากเดิม 2 หมื่นบาท เป็นไม่เกิน 2 แสนบาท และยังได้เพิ่มค่าธรรมเนียมระเบียบสำหรับการเปิดบริการตั้งครรภ์แทนเพื่อนำรายได้เข้าสู่รัฐ