นายแพทริค แกรนเด รองประธานฝ่ายบริหาร และหัวหน้าฝ่าย Commercial Outsourcing ประจำภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก DKSH กล่าวว่า บริษัท DKSH (ประเทศไทย) จำกัด พันธมิตรเชิงกลยุทธ์ด้านโซลูชันการดูแลสุขภาพและผู้นำด้านการขยายตลาด สำหรับบริษัทผู้ผลิตเวชภัณฑ์ยา บริษัทผู้ผลิตยาจำหน่ายหน้าเคาน์เตอร์ (OTC) ผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพ และเครื่องมือแพทย์ ได้ร่วมมือกับ FrontierView บริษัทที่ปรึกษาและให้บริการด้านข้อมูลชั้นนำ จัดทำเอกสารการศึกษา (Whitepaper) ในหัวข้อ “ภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โอกาสแห่งการเติบโตของธุรกิจดูแลสุขภาพ”
โดยนำเสนอเกี่ยวกับโอกาสและความท้าทายของตลาดสุขภาพในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ รวมถึงประเทศไทย ที่ตลาดเติบโตสูงและได้รับความสนใจจากบริษัทผู้ผลิตเวชภัณฑ์ยาทั่วโลกเป็นอย่างมาก ในขณะเดียวกันก็ยังมีความท้าทายที่หลายฝ่ายต้องหาแนวทางจัดการบริหารร่วมกัน เพื่อให้คนไทยสามารถเข้าถึงระบบการดูแลสุขภาพได้มากขึ้น
“เอกสารการศึกษานี้ ช่วยยืนยันในความเชื่อมั่นที่เรามีต่อตลาดในประเทศไทย ซึ่งยังคงเป็นหนึ่งในตลาดที่มีศักยภาพสูงที่สุดในภูมิภาค สำหรับบริษัทผู้ผลิตเวชภัณฑ์ยา สินค้าสุขภาพ และอุปกรณ์การแพทย์ การขยายตัวของชนชั้นกลางอย่างต่อเนื่องและการก้าวสู่สังคมผู้สูงอายุ ส่งผลให้ความต้องการบริการด้านสุขภาพจากภาคเอกชนมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ภาคส่วนต่างๆ ในอุตสาหกรรมนี้ จึงต้องร่วมมือกันเพื่อช่วยให้ผู้ป่วยและผู้ที่ต้องการดูแลสุขภาพในประเทศไทยทุกคน สามารถเข้าถึงการรักษาและการดูแลที่มีคุณภาพได้อย่างเท่าเทียมกัน”
เมื่อความต้องการด้านสุขภาพในประเทศไทยเพิ่มขึ้น ภาครัฐจึงสร้างความร่วมมือระหว่างภาครัฐและเอกชน (PPPs) เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการรองรับผู้ป่วยในระบบสุขภาพภาครัฐ ตัวอย่างที่เด่นชัดคือ โครงการโรงพยาบาลปลวกแดง 2 ที่ภาครัฐและเอกชนทำร่วมกัน
ความร่วมมือเช่นนี้จะช่วยให้ประเทศไทยสามารถสร้างโครงสร้างพื้นฐานด้านสุขภาพ ภายใต้ทรัพยากรที่ภาครัฐมีอยู่ได้ นอกจากนี้ การมีส่วนร่วมของภาคเอกชนยังนำเอาความเชี่ยวชาญ ประสิทธิภาพในการดำเนินงาน และนวัตกรรมที่จำเป็น มาช่วยจัดการกับความต้องการด้านสุขภาพที่ซับซ้อนมากขึ้นของประเทศไทยด้วย
นายแพทริค กล่าวว่า แม้อุตสาหกรรมการดูแลสุขภาพในประเทศไทยจะเติบโตอย่างมาก แต่ยังมีความท้าทายที่ต้องบริหารจัดการร่วมกันเพื่อความยั่งยืน ดังนี้
1. การขาดแคลนบุคลากรทางการแพทย์คือความท้าทายที่สำคัญประการหนึ่ง แพทย์ พยาบาล และบุคลากรทางการแพทย์ มีแนวโน้มจะย้ายไปยังภาคเอกชน ทำให้การกระจายตัวของบุคลากรทางการแพทย์ไม่สมดุล ส่งผลให้ภาครัฐต้องรับมือกับความต้องการในด้านการดูแลสุขภาพที่เพิ่มมากขึ้น
2. ระบบประกันสังคมของประเทศไทย ซึ่งมีบทบาทสำคัญในการจัดหาทุนสำหรับการดูแลสุขภาพของประชาชน กำลังเผชิญกับภาระค่าใช้จ่ายที่เพิ่มมากขึ้น เนื่องจากรายได้ในระบบลดลง ในขณะที่ความต้องการบริการสุขภาพโดยเฉพาะในโรงพยาบาลภาครัฐเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว การเพิ่มการลงทุนในประกันสุขภาพเอกชนอาจเป็นแนวทางหนึ่งในการจัดการกับสถานการณ์นี้
3. ข้อจำกัดด้านกฎระเบียบควบคุมดูแลระบบสุขภาพ ส่งผลต่อการเติบโตของอุตสาหกรรม แม้ว่าจะมีการออกมาตรการต่างๆ เช่น แนวทางการประเมินร่วมของอาเซียน (The ASEAN Joint Assessment pathway) การให้สิทธิประโยชน์ทางภาษี และการส่งเสริมการผลิตภายในประเทศ แต่การผลิตเวชภัณฑ์ยาและอุปกรณ์ทางการแพทย์ในประเทศก็ยังไม่เพิ่มมากนัก ไทยยังคงนำเข้าสินค้าทางการแพทย์จำนวนมาก และหากบริษัทต่างชาติเข้ามาลงทุนผลิตในประเทศ ก็อาจทำให้การแข่งขันเพิ่มสูงขึ้นอีก
4. ธุรกิจสุขภาพภาคเอกชนในประเทศไทย เผชิญกับอัตราดอกเบี้ยที่เพิ่มสูงขึ้นทั่วโลก ส่งผลให้โรงพยาบาลเอกชนจัดหาเงินทุนสำหรับโครงสร้างพื้นฐานและอุปกรณ์ทางการแพทย์ได้ยากขึ้น โรงพยาบาลหลายแห่งจึงเลือกที่จะเช่าอุปกรณ์การแพทย์แทนการซื้อขาด ซึ่งสะท้อนถึงต้นทุนทางการเงินที่สูงขึ้น ซึ่งตลาดสุขภาพของประเทศไทยถือว่ามีโอกาสมหาศาล โดยเฉพาะการเติบโตที่ต่อเนื่องของภาคเอกชนและการฟื้นตัวของการท่องเที่ยวเชิงการแพทย์
อย่างไรก็ตาม เอกสารการศึกษาได้ระบุว่า ประเทศไทยจะต้องบริหารจัดการเรื่องการขาดแคลนบุคลากรทางการแพทย์ การจัดสรรงบประมาณให้เพียงพอ และข้อจำกัดจากกฎระเบียบต่างๆ ที่เกี่ยวข้องให้ได้ การแสวงหาความร่วมมือระหว่างภาครัฐและเอกชนเป็นทางแก้ปัญหาที่ดี แต่ก็ต้องให้ความสำคัญกับการร่วมมือกันระหว่างรัฐบาล ภาคเอกชน และบุคลากรทางการแพทย์ เพื่อสร้างความยั่งยืนให้แก่ระบบการดูแลสุขภาพ