เหนื่อยแต่ไม่รู้สาเหตุ 5 สุขภาพจิตที่คนยุคนี้กำลังเผชิญ

12 พ.ย. 2568 | 03:40 น.
อัปเดตล่าสุด :18 พ.ย. 2568 | 11:10 น.

สำรวจ 5 สัญญาณสุขภาพจิตใกล้ตัวที่ส่งผลต่อชีวิตประจำวัน เพื่อดูแล "ใจ" ตัวเอง ก่อนที่ปัญหาเล็ก ๆ จะกลายเป็นวิกฤตที่ยากจะแก้ไข

KEY

POINTS

  • ปัญหาสุขภาพจิตมักแสดงออกผ่านสัญญาณเตือนทางร่างกายและอารมณ์ เช่น การนอนที่ผิดปกติ อารมณ์แปรปรวนง่าย และอาการเจ็บป่วยทางกายโดยไม่ทราบสาเหตุ
  • ประสิทธิภาพในการทำงาน สมาธิ และความสามารถในการตัดสินใจลดลงอย่างเห็นได้ชัด ซึ่งอาจเป็นสัญญาณของภาวะเครียดสะสมหรือภาวะซึมเศร้า
  • การเปลี่ยนแปลงพฤติกรรม เช่น การแยกตัวออกจากสังคม หลีกเลี่ยงการพบปะผู้คน และนิสัยการกินที่ผิดปกติ เป็นอีกหนึ่งสัญญาณสำคัญที่ควรสังเกต

ในโลกที่หมุนเร็วและความกดดันถาโถม การดูแล "สุขภาพกาย" อาจเป็นเรื่องที่เราให้ความสำคัญเป็นอันดับแรก ๆ แต่บ่อยครั้งที่เรามองข้าม "สุขภาพจิต" ซึ่งเป็นรากฐานสำคัญของชีวิตที่ดี ในความเป็นจริง สุขภาพจิตไม่ได้หมายถึงแค่ "โรคจิตเวช" เท่านั้น แต่รวมถึงสภาวะอารมณ์ ความคิด และความรู้สึกของเราในทุก ๆ วัน หากปล่อยให้สัญญาณเล็ก ๆ น้อย ๆ เหล่านี้สะสม อาจนำไปสู่ปัญหาที่ส่งผลกระทบต่อชีวิตและการทำงานได้ในที่สุด

สังเกต 5 สัญญาณสุขภาพจิตใกล้ตัวที่มักถูกมองข้าม เพื่อให้คุณหันกลับมาดูแล "ใจ" ตัวเอง ก่อนที่ทุกอย่างจะสายเกินไป

1. การเปลี่ยนแปลงของ "การนอนหลับ" อย่างชัดเจน

การนอนหลับเป็นดัชนีชี้วัดสุขภาพจิตที่ชัดเจนที่สุด เมื่อใจเราไม่สงบ มันจะส่งผลกระทบต่อการนอนทันทีสัญญาณที่ต้องใส่ใจ

  • นอนไม่หลับเรื้อรัง (Insomnia) หลับยาก ตื่นกลางดึกบ่อย ๆ และกลับไปหลับไม่ได้ หรือตื่นเช้ากว่าปกติมาก ทั้งที่ไม่ได้ตั้งใจ
  • นอนหลับมากเกินไป (Hypersomnia) รู้สึกอยากนอนตลอดเวลา นอนมากเท่าไหร่ก็ยังรู้สึกอ่อนเพลีย ไร้เรี่ยวแรง ไม่สดชื่นเมื่อตื่นนอน

 

การนอนที่ผิดปกติเป็นสัญญาณร่วมที่สำคัญของหลายปัญหาสุขภาพจิต เช่น ความเครียดสะสม, ภาวะวิตกกังวล และภาวะซึมเศร้า หากปล่อยไว้จะทำให้ร่างกายและสมองทำงานได้ไม่เต็มที่

2. อารมณ์แปรปรวน "หงุดหงิดง่าย" และ "เศร้าสิ้นหวัง"

อารมณ์ของเรามักจะแสดงออกถึงสิ่งที่จิตใจกำลังเผชิญอยู่ แต่คนส่วนใหญ่มักเข้าใจผิดว่านี่คือ "นิสัย" หรือ "ความเหนื่อยล้า" ธรรมดา สัญญาณที่ต้องใส่ใจ

  • หงุดหงิดฉุนเฉียวง่ายโมโห ไม่พอใจ หรือมีพฤติกรรมก้าวร้าวกับเรื่องเล็กน้อย ทั้งที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
  • อารมณ์ดิ่งเศร้าอย่างต่อเนื่อง รู้สึกเศร้าหรือว่างเปล่าเป็นเวลานาน หมดความสนใจในกิจกรรมที่เคยชอบทำ (แม้แต่สิ่งที่เคยทำให้มีความสุข) รู้สึกท้อแท้ สิ้นหวัง ไร้ค่า ตำหนิตัวเอง หรือคิดว่าตัวเองเป็นภาระ

การเปลี่ยนแปลงของอารมณ์อย่างรวดเร็ว Mood Swings หรือการดิ่งลงสู่ความเศร้าอย่างยาวนาน อาจเป็นอาการเริ่มต้นของภาวะซึมเศร้า หรือไบโพลาร์ หากมีความคิดอยากทำร้ายตัวเองหรือผู้อื่น ควรรีบปรึกษาผู้เชี่ยวชาญทันที

3. "อาการทางกาย" ที่หาสาเหตุทางการแพทย์ไม่พบ

ร่างกายและจิตใจเชื่อมโยงกัน เมื่อจิตใจมีความเครียดหรือความกังวลสูง ร่างกายจะแสดงอาการออกมาเพื่อส่งสัญญาณเตือน สัญญาณที่ต้องใส่ใจ

  • ปวดศีรษะ ปวดเมื่อยตามร่างกาย ปวดหลัง ปวดท้อง ท้องอืด ท้องเฟ้อ โดยที่ตรวจไม่พบความผิดปกติทางร่างกาย
  • ใจสั่น หัวใจเต้นเร็ว คล้ายอาการโรคหัวใจ (ซึ่งอาจเป็นอาการของ โรคแพนิก ได้)
  • ความดันโลหิตสูง หรือประจำเดือนมาไม่ปกติ (ในผู้หญิง)

โดยนี่คือสิ่งที่เรียกว่า "อาการทางกายจากความเครียด" (Somatic Symptoms) การละเลยปัญหานี้จะทำให้ผู้ป่วยต้องวนเวียนกับการรักษาอาการทางกายที่ไม่หายขาด เพราะต้นเหตุที่แท้จริงคือความเครียดและความวิตกกังวลในจิตใจ

4. "ประสิทธิภาพการทำงาน" และ "สมาธิ" ลดลงอย่างมาก

ความสามารถในการคิด การตัดสินใจ และการทำงาน มักจะลดลงเมื่อสุขภาพจิตแย่ลง ซึ่งมักถูกตีความว่าเป็นความขี้เกียจหรือการหมดไฟ สัญญาณที่ต้องใส่ใจ

  • สมาธิและความจำแย่ลง หลงลืมง่าย วอกแวก ไม่สามารถจดจ่ออยู่กับงานได้นาน ประสิทธิภาพการทำงานลดลงอย่างเห็นได้ชัด
  • รู้สึกเบลอหรือสับสน ไม่สามารถเรียบเรียงความคิด หรือตัดสินใจเรื่องง่าย ๆ ได้
  • ความเบื่อหน่าย/หมดไฟ รู้สึกหมดพลังงาน ไม่มีแรงจูงใจในการทำสิ่งใด ๆ แม้แต่สิ่งที่เคยเป็นเป้าหมาย

ปัญหานี้ส่งผลกระทบโดยตรงต่อความก้าวหน้าในชีวิตและการทำงาน และมักเป็นสัญญาณเตือนของภาวะเครียดสะสมหรือการเข้าสู่ภาวะซึมเศร้าในคนวัยทำงาน

5. การ "ถอนตัวออกจากสังคม" และ "พฤติกรรมการกิน" เปลี่ยนไป

การปฏิสัมพันธ์ทางสังคมและการดูแลตนเองเป็นเรื่องพื้นฐานที่เปลี่ยนไปเมื่อสุขภาพจิตเราแย่ลง สัญญาณที่ต้องใส่ใจ

  • แยกตัวและเก็บตัว หลีกเลี่ยงการเข้าสังคม ไม่ต้องการพบปะเพื่อนหรือครอบครัว
  • การกินที่ผิดปกติ เบื่ออาหาร น้ำหนักลดลงอย่างมาก หรือกินมากเกินไปแบบควบคุมไม่ได้

การถอนตัวอาจทำให้รู้สึกโดดเดี่ยวและแย่ลงเรื่อย ๆ ส่วนพฤติกรรมการกินที่ผิดปกติเป็นกลไกการรับมือกับอารมณ์ที่ผิดพลาด ซึ่งจะนำไปสู่ปัญหาสุขภาพกายอื่น ๆ ตามมา

ก้าวต่อไป เมื่อรู้สัญญาณแล้ว ทำอย่างไร

การตระหนักรู้คือจุดเริ่มต้นที่สำคัญที่สุด หากคุณหรือคนใกล้ชิดมีสัญญาณเหล่านี้อย่างต่อเนื่อง ไม่ต้องรอให้เป็นโรคจิตเวชที่รุนแรงก่อน คุณสามารถเริ่มต้นดูแลตัวเองได้ด้วยวิธีง่าย ๆ ดังนี้

  • พักผ่อนให้เพียงพอ จัดตารางการนอนให้สม่ำเสมอ
  • เคลื่อนไหวร่างกาย ออกกำลังกายเบา ๆ เพื่อลดความเครียด
  • พูดคุยกับคนใกล้ชิด อย่าเก็บปัญหาไว้คนเดียว การระบายออกช่วยได้
  • ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญ หากพยายามแก้ไขด้วยตัวเองแล้วไม่ดีขึ้น การปรึกษาจิตแพทย์หรือนักจิตวิทยาเป็นการตัดสินใจที่ถูกต้องและกล้าหาญ

การดูแลสุขภาพจิตไม่ต่างจากการดูแลสุขภาพกาย การให้ความรักและความเมตตาต่อ "ใจ" ตัวเองอย่างสม่ำเสมอ จะช่วยให้คุณมีพลังในการใช้ชีวิตและสร้างสรรค์ผลงานได้อย่างมีความสุขและยั่งยืน