KEY
POINTS
ธุรกิจความงามในไทยยังคงเติบโตต่อเนื่อง ทั้งในแง่จำนวนผู้ประกอบการหน้าใหม่และความต้องการของผู้บริโภค ล่าสุดศูนย์วิจัยกสิกรไทยระบุว่า การดูแลใบหน้าเป็นเทรนด์ที่ได้รับความสนใจมากที่สุด คิดเป็นกว่า 47% ของบริการทั้งหมด ขณะที่การดูแลลำตัวและแขนขาอยู่ที่ 16% พร้อมทั้งมีความสนใจด้านการชะลอวัยอย่างต่อเนื่อง ทำให้คาดว่าตลาดธุรกิจศัลยกรรมและเสริมความงามปี 2568 มีมูลค่าราว 76,500 ล้านบาท เติบโต 2.8% จากปีก่อน
แนวโน้มปัจจุบันสะท้อนถึงการเปลี่ยนโฟกัสจากศัลยกรรมเพียงอย่างเดียวไปสู่การดูแลตัวเองแบบองค์รวม ไม่ว่าจะเป็นการยกกระชับผิว ลดริ้วรอย หรือโปรแกรมชะลอวัยที่เน้นความยั่งยืนมากกว่าการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว
นายสุมิตร เตชะสุขสันติ์ ประธานบริหาร แอมเพ็ค เอซเธติค ระบุว่า เทรนด์ความงามยุคใหม่ผู้บริโภคนิยมการปรับรูปหน้าแบบธรรมชาติ มากกว่าการเติมสารเติมเต็ม รวมถึงเทรนด์ Longevity ที่ไม่ได้จำกัดเพียงสุขภาพกาย แต่ยังรวมถึงการดูแลใบหน้าให้ดูอ่อนเยาว์และร่างกายที่กระชับ ส่งผลให้ตลาดความงามเติบโตควบคู่กัน
เพื่อรองรับความต้องการนี้ แอมเพ็คได้เปิดตัวโปรแกรม ‘XTHERMA’ นวัตกรรมยกกระชับผิวที่ได้รับการรับรองจาก FDA ทั้งสหรัฐอเมริกา เกาหลี และไทย บริษัทวางกลุ่มเป้าหมายไปที่คนวัยทำงานและกลุ่มผู้บริหารที่มีกำลังซื้อสูง ต้องการดูดีแบบไม่ผ่าตัดและไม่ต้องพักฟื้น โดยเน้นการตลาดผ่านอินฟลูเอนเซอร์และคลินิกพันธมิตร พร้อมจุดยืน ‘Smart Choice’ คุ้มค่า ปลอดภัย และใกล้เคียงเครื่องระดับ Gold Standard
แผนธุรกิจของแอมเพ็คตั้งเป้ายอดขายโปรแกรม XTHERMA ปีนี้ที่ 70 ล้านบาท และขยายสู่ 250 ล้านบาทในปี 2569 ขณะเดียวกันภาพรวมธุรกิจต้องการเติบโต 40% ต่อปี โดยสองปีที่ผ่านมา ยอดขายรวมของบริษัทแตะ 1,000 ล้านบาท
นายสุมิตรกล่าวต่อว่า “เทรนด์ความงามมีการอัปเดตตลอดเวลา การสื่อสารกับผู้บริโภคอย่างต่อเนื่องเป็นหัวใจสำคัญ แบรนด์ที่ให้ข้อมูลชัดเจนจะสร้างความเข้าใจและความเชื่อมั่นได้มากกว่า ซึ่งผู้บริโภคปัจจุบันเข้าถึงข้อมูลได้ง่ายขึ้น การให้ข้อมูลตรงจากแบรนด์จึงสำคัญต่อการแข่งขันในตลาด”