เมโกะเสนอรัฐบาลชุดใหม่ กระตุ้นท่องเที่ยว เสริมอุตสาหกรรมความงาม ดันไทยสู่ Medical Tourism

02 ต.ค. 2568 | 08:19 น.
อัปเดตล่าสุด :02 ต.ค. 2568 | 11:06 น.

'เมโกะ อินเตอร์เนชั่นแนล' เสนอกลยุทธ์เชื่อมการท่องเที่ยวกับอุตสาหกรรมความงาม ผ่าน Medical Tourism เพื่อเสริมศักยภาพไทยเป็นศูนย์กลางการท่องเที่ยวการแพทย์ พร้อมแผนขยายบริการศัลยกรรม รองรับลูกค้าต่างชาติ

KEY

POINTS

  • เมโกะเสนอให้รัฐบาลชุดใหม่ส่งเสริมนโยบายท่องเที่ยว เพื่อกระตุ้นอุตสาหกรรมศัลยกรรมความงามและผลักดันไทยสู่การเป็นศูนย์กลาง Medical Tourism
  • แนะรัฐบาลพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน เช่น การขยายสนามบินและเพิ่มเที่ยวบิน เพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยวต่างชาติที่มีกำลังซื้อสูงให้เดินทางมาไทยสะดวกขึ้น
  • ชี้ว่าการเติบโตของ Medical Tourism จะช่วยเพิ่มฐานลูกค้าต่างชาติ ซึ่งเป็นกลุ่มเป้าหมายหลักที่มีการใช้จ่ายสูง และช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ

พญ. วรารัตน์ สิริกุตตา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร (CEO) โรงพยาบาลเมโกะ อินเตอร์เนชั่นแนล (MEKO INTERNATIONAL HOSPITAL) กล่าวว่า การส่งเสริมการท่องเที่ยวสามารถช่วยกระตุ้นธุรกิจศัลยกรรมความงามได้โดยอ้อม โดยเฉพาะในรูปแบบของ Medical Tourism ที่มีการเติบโตสูงในหลายประเทศ การเชื่อมโยงระหว่างการท่องเที่ยวและการแพทย์จะช่วยสร้างโอกาสทางธุรกิจให้กับทั้งสองอุตสาหกรรม

การท่องเที่ยวและการแพทย์สามารถเชื่อมโยงกันได้โดยตรง เมื่ออุตสาหกรรมการท่องเที่ยวเติบโต การดึงดูดนักท่องเที่ยวจากต่างประเทศจะมีผลในการเพิ่มจำนวนลูกค้าสำหรับธุรกิจ Medical Tourism

ซึ่งรวมถึงบริการศัลยกรรมความงามด้วย การที่นักท่องเที่ยวมาที่ประเทศไทยเพื่อท่องเที่ยวและรับบริการศัลยกรรมจะเพิ่มโอกาสในการขยายตลาดการแพทย์ความงามไทยให้เติบโตขึ้น โดยเฉพาะในกลุ่มลูกค้าที่มีกำลังซื้อสูงจากต่างประเทศ

นอกจากนี้ เมโกะแนะนำให้รัฐบาลส่งเสริมการพัฒนา Infrastructure และการปรับปรุงการเดินทางต่าง ๆ เพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยวจากต่างชาติให้มากขึ้น โดยการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน เช่น การขยายสนามบิน การเพิ่มเที่ยวบินจากประเทศที่มีตลาดศัลยกรรมสูง เช่น จีน อินโดนีเซีย สิงคโปร์ และมาเลเซีย รวมถึงการพัฒนาระบบการคมนาคมให้สะดวกสบายมากยิ่งขึ้น

การพัฒนาในด้านนี้จะช่วยให้การเดินทางของนักท่องเที่ยวที่ต้องการรับบริการ Medical Tourism ในประเทศไทยเป็นไปอย่างสะดวก รวดเร็ว และปลอดภัย ส่งผลให้ประเทศไทยสามารถดึงดูดนักท่องเที่ยวและลูกค้าใหม่ ๆ ได้มากขึ้น ทำให้ธุรกิจศัลยกรรมความงามมีโอกาสเติบโตในระดับสากล

พญ. วรารัตน์ สิริกุตตา

ธุรกิจความงามโตแรง เกิดการควบรวมธุรกิจระหว่างเมโกะ คลินิกและโซ เมโกะ คลินิก

พญ. วรารัตน์ กล่าวต่อว่า ธุรกิจศัลยกรรมและความงามในประเทศไทยยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยได้รับแรงขับเคลื่อนจากกระแส Medical Tourism และการเพิ่มขึ้นของความนิยมในกลุ่มลูกค้าใหม่ ๆ เช่น Gen Y ผู้หญิง และ LGBTQIA+

ซึ่งให้ความสำคัญกับการดูแลภาพลักษณ์ การควบรวมธุรกิจระหว่าง เมโกะ คลินิก และ โซ เมโกะ คลินิก เพื่อก่อตั้ง MEKO INTERNATIONAL HOSPITAL เป็นการตอบสนองต่อความต้องการของตลาดที่เปลี่ยนแปลงไป และขยายขีดความสามารถในการให้บริการด้านความงามที่ครบวงจร ทั้งการดูแลผิวพรรณ ศัลยกรรม และเวชศาสตร์ความงาม

สอดรับกับรายงานจาก ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ที่ระบุว่า มูลค่าตลาดศัลยกรรมและเสริมความงามในประเทศไทยในปี 2568 จะอยู่ที่ประมาณ 7 หมื่นล้านบาท และมีแนวโน้มขยายตัวอย่างก้าวกระโดดสู่ระดับ 5.2 แสนล้านบาทภายในปี 2573 ซึ่งคิดเป็นอัตราการเติบโตเฉลี่ยที่ 47-48% ต่อปี การเติบโตนี้ได้รับแรงขับเคลื่อนจากการเพิ่มขึ้นของ Medical Tourism โดยเฉพาะการเดินทางของนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เข้ามารับบริการทางการแพทย์ในไทย

ประเทศไทยไม่เพียงเป็นจุดหมายสำคัญในด้านการท่องเที่ยว แต่ยังถือเป็น ศูนย์กลางด้านหัตถการและศัลยกรรมความงามในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ปัจจุบันมีนักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางเข้ามาเพื่อรับบริการทางการแพทย์ เช่น การตรวจสุขภาพ การรักษาเฉพาะทาง และการศัลยกรรม มากกว่า 2 ล้านครั้งต่อปี ซึ่งเกิดจากความเชื่อมั่นในทักษะและฝีมือของแพทย์ไทย รวมถึงการรับรองมาตรฐานคุณภาพและความปลอดภัยจาก JCI (Joint Commission International) และการนำนวัตกรรมทางการแพทย์ที่ทันสมัยมาให้บริการ

สองเหตุผลหลักที่ช่วยเสริมจุดแข็งให้กับธุรกิจ

1.ตอบรับเทรนด์ตลาดที่เปลี่ยนไป

เดิม เมโกะ คลินิก เน้นให้บริการหัตถการเล็กๆ เช่น การฉีดโบท็อกซ์ ฟิลเลอร์ และการดูแลผิวพรรณ แต่ปัจจุบันลูกค้าหันมาสนใจศัลยกรรมใหญ่ที่ต้องการการพักฟื้นในโรงพยาบาล เช่น การเสริมจมูก การเสริมหน้าอก หรือการดึงหน้า ซึ่งคลินิกทั่วไปไม่สามารถรองรับได้ การสร้างโรงพยาบาลเมโกะ จึงเป็นคำตอบที่ถูกต้อง เพราะสามารถรองรับลูกค้าที่ต้องการศัลยกรรมใหญ่ได้

2.เติมเต็มซึ่งกันและกัน 

เมโกะ คลินิก มีเชี่ยวชาญในการดูแลผิวพรรณและการทำหัตถการที่ไม่ต้องผ่าตัด เช่น การฉีดโบท็อกซ์ ฟิลเลอร์ ส่วน โซ เมโกะ คลินิก มีเชี่ยวชาญในด้านศัลยกรรม เช่น การเสริมจมูก การเสริมหน้าอก หรือการดึงหน้า เมื่อทั้งสองมารวมกัน จะทำให้สามารถให้บริการความงามได้ครบวงจร ทั้งการบำรุงผิวพรรณและการศัลยกรรม

เมโกะเสนอรัฐบาลชุดใหม่ กระตุ้นท่องเที่ยว เสริมอุตสาหกรรมความงาม ดันไทยสู่ Medical Tourism

ผลลัพธ์จากการควบรวม

การควบรวมธุรกิจนำมาซึ่งการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญ 3 อย่าง

1.เปลี่ยนสถานะจาก "คลินิก" เป็น "โรงพยาบาล" ทั้งสองฝ่ายรวมกันและสร้าง MEKO INTERNATIONAL HOSPITAL ขึ้นมา เพื่อให้บริการศัลยกรรมความงามได้อย่างครบถ้วนภายใต้มาตรฐานโรงพยาบาล

2.รวมแบรนด์ เพื่อให้แบรนด์มีทิศทางเดียวกันและใช้ชื่อที่แข็งแกร่งที่สุด จึงตัดสินใจใช้ชื่อ "เมโกะ" เป็นหลัก 

3.ทีมแพทย์ยังอยู่ครบ ถึงแม้จะเปลี่ยนชื่อแต่ทีมแพทย์และบุคลากรเดิมของทั้งสองคลินิกยังคงทำงานร่วมกัน ทำให้มั่นใจได้ว่าความเชี่ยวชาญและคุณภาพการรักษายังคงเดิม

การลงทุนและการขยายตัวในตลาดศัลยกรรมและความงาม

การลงทุนของ เมโกะสำหรับการก่อตั้ง MEKO INTERNATIONAL HOSPITAL ใหม่มีรายละเอียดที่สำคัญดังนี้

  • ยอดลงทุนรวม การลงทุนรวมทั้งหมดอยู่ที่ 1,200 ล้านบาท ตัวเลขนี้รวมถึง ค่าที่ดิน ด้วย
  • การลงทุนเฉพาะอาคารและอุปกรณ์ หากไม่นับรวมค่าที่ดิน การลงทุนในส่วนของ ตัวอาคาร และ เครื่องมืออุปกรณ์ทางการแพทย์ อยู่ที่ประมาณ 600 ล้านบาท

การลงทุนนี้เป็นส่วนหนึ่งของการรวมกิจการระหว่าง เมโกะ คลินิก และ โซ เมโกะ คลินิก เพื่อสร้างโรงพยาบาลเมโกะ ที่จะเน้นการโปรโมตหัตถการหลัก เช่น ศัลยกรรมจมูก, ศัลยกรรมหน้าอก, และ ศัลยกรรมดึงหน้า โดยมีการออกแบบและลงทุนเพื่อรองรับการขยายตัวของธุรกิจและตอบสนองความต้องการของลูกค้าที่มองหาบริการศัลยกรรมที่มีคุณภาพในระดับสากล

เมโกะเสนอรัฐบาลชุดใหม่ กระตุ้นท่องเที่ยว เสริมอุตสาหกรรมความงาม ดันไทยสู่ Medical Tourism

ปัจจุบันมีทั้งหมด 3 สาขา ได้แก่

  • โรงพยาบาลเมโกะ (1 แห่ง) - ซึ่งเป็นผลมาจากการรวมกิจการของ เมโกะ คลินิก และ โซ เมโกะ คลินิก
  • เมโกะ คลินิก สาขาเซ็นทรัลเวิลด์ - ซึ่งยังคงดำเนินการตามมาตรฐานและบริการที่มีคุณภาพ
  • เมโกะ คลินิก สาขาพระราม 2 - ซึ่งยังคงให้บริการตามรูปแบบเดียวกัน

เน้นเจาะตลาดต่างประเทศเป็นหลัก

เมโกะมองว่ากำลังซื้อของคนไทยมีจำกัด และคนไทยส่วนหนึ่งนิยมเทรนด์เกาหลี ทำให้ธุรกิจต้องหันไปพึ่งพากำลังซื้อจากต่างประเทศมากขึ้น

กำลังซื้อจากต่างชาติที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องมาจากประเทศสำคัญ ได้แก่ อินโดนีเซีย, จีน, สิงคโปร์, และมาเลเซีย โดย อินโดนีเซีย ถูกเน้นเป็นพิเศษ เนื่องจากมีเศรษฐกิจที่กำลังเติบโต GDP เพิ่มขึ้น และมีประชากรที่มีกำลังซื้อสูง

คาดการณ์ว่าสัดส่วนลูกค้าต่างชาติจะเพิ่มขึ้นจากเดิม 20% เป็น 25% ภายในปี 2569 โดยลูกค้าจากอินโดนีเซียคาดว่าจะมีสัดส่วนประมาณ 15% ของฐานลูกค้าทั้งหมด และจีนประมาณ 5-7%

ลูกค้าต่างชาติส่วนใหญ่เป็นกลุ่ม Upper Middle ถึง High Income ซึ่งใช้จ่ายสูงมาก โดยมียอดต่อบิลขั้นต่ำประมาณ 300,000 – 500,000 บาท และบางครั้งอาจสูงถึงหลักล้านบาท เนื่องจากลูกค้าเหล่านี้มักจะทำหลายหัตถการในครั้งเดียว