ครม.ชุดใหม่อย่าเปลี่ยนกลางคัน 'JSP' หนุนสานต่อสาธารณสุข

25 ก.ย. 2568 | 09:56 น.
อัปเดตล่าสุด :28 ก.ย. 2568 | 04:00 น.

เอกชนต้องการเสถียรภาพนโยบาย 4 เดือนแรก ชี้สาธารณสุขควรสานต่อ สมุนไพร–นวดไทยเดินหน้า เพราะไม่ชอบความไม่แน่นอน ประกาศให้ชัด เอกชนพร้อมปรับตัว

KEY

POINTS

  • ภาคเอกชน โดย JSP เรียกร้องให้ ครม. ชุดใหม่สานต่อนโยบายด้านสาธารณสุขที่มีอยู่เดิม เพื่อรักษาความต่อเนื่องและไม่ให้เกิดการเปลี่ยนแปลงกลางคัน
  • เน้นย้ำถึงความสำคัญของการส่งเสริมนโยบายสมุนไพรไทยและนวดไทย ซึ่งกำลังสร้างชื่อเสียงและภาพลักษณ์ที่ดีในระดับโลก ไม่ควรหยุดชะงัก
  • ภาคธุรกิจต้องการความชัดเจนและเสถียรภาพของนโยบายจากรัฐบาล เพื่อให้สามารถปรับตัวและวางแผนการลงทุนได้ เนื่องจากความไม่แน่นอนเป็นอุปสรรคสำคัญ
  • ชี้ว่าการทำงานของกระทรวงสาธารณสุขในยุคที่ผ่านมามีประสิทธิภาพสูงสุด เพราะเปิดรับฟังและร่วมมือกับภาคเอกชน ซึ่งเป็นแนวทางที่ควรดำเนินต่อไป

นายสิทธิชัย แดงประเสริฐ ประธาน บริษัท โรงงานเภสัชอุตสาหกรรม เจเอสพี (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ JSP กล่าวว่า ครม.ชุดใหม่ในมุมเอกชนว่า “เอกชนชอบ” โดยเฉพาะฝั่ง กระทรวงสาธารณสุข ขอให้ “สานต่อเรื่องเดิม” ที่ดำเนินมาได้ดีอยู่แล้ว

สมุนไพรไทย และ นวดไทย ซึ่งองค์การยูเนสโก (UNESCO) ขึ้นทะเบียนเป็นมรดกทางวัฒนธรรมกำลังสร้าง ภาพลักษณ์เชิงบวก ต่อเศรษฐกิจสุขภาพไทย “อย่าเปลี่ยนนโยบายกลางทาง” เพราะความต่อเนื่องจะทำให้ผลลัพธ์ด้านภาพลักษณ์และอุตสาหกรรมเดินต่อได้เอง

“นวดไทย” ไม่ใช่ “อาบอบนวด” และการผลักดันที่ผ่านมาได้ช่วยยกระดับความเข้าใจของสังคมต่อบริการสุขภาพดั้งเดิมของไทย

 

ขณะเดียวกัน สมุนไพรไทย รวมถึงพืชที่เคยเป็นประเด็นสังคมอย่าง กัญชา–กัญชง–กระท่อม ต้องบริหารบนฐาน ภาพลักษณ์ที่ชัดเจน และกรอบกฎหมายที่เหมาะสม หากรัฐมนตรีสาธารณสุขคนใหม่ “สานต่อ” นโยบายที่ดีอยู่แล้ว “ทุกอย่างจะตามมา” โดยไม่จำเป็นต้อง “ตั้งต้นใหม่”

ในช่วงเปลี่ยนผ่าน 4 เดือนแรก รัฐบาลควร “เดินตามแบบเดิม” เพื่อคงเสถียรภาพนโยบายไว้ก่อน หากรัฐบาลเชื่อว่าจะอยู่ครบวาระ 4 ปี ค่อยพิจารณาปรับครั้งใหญ่ภายหลัง “เอกชนไม่ชอบความไม่ชัดเจน ตลาดหุ้นก็ไม่ชอบ จะดีจะเลวขอให้ชัด เราปรับตัวได้ แต่ถ้าไม่แน่ใจ ตัดสินใจยาก” 

นายสิทธิชัย แดงประเสริฐ

สาธารณสุข เป็นนโยบายเชิงระบบ ที่ต้องใช้เวลา 2–3 ปี กว่าจะเห็นผลเด่นชัด ต่างจากนโยบายด้าน พาณิชย์ การคลัง ที่มีเครื่องมือซึ่ง “ส่งผลได้ทันที” เช่น อัตราดอกเบี้ย และ ภาษี ที่สามารถกระทบต่อ กิจกรรมเศรษฐกิจ ได้ “ภายในวันรุ่งขึ้น” ทั้งในมิติสภาพคล่อง ต้นทุนทางการเงิน และแรงจูงใจการลงทุน บริโภค

ส่วนทีมเศรษฐกิจอย่าง “เอกนิติ” และ “ศุภจี” ตอบสั้นชัดว่า “เยี่ยม” เพราะ “เข้าใจ pain point ของเอกชน” และสามารถ นำทีม ให้ขับเคลื่อนนโยบายเชิงรุกได้ โดยเฉพาะฝั่ง กระทรวงพาณิชย์ และ กระทรวงการคลัง ที่มีเครื่องมือ ระยะสั้น สร้างผลกระทบทางเศรษฐกิจได้เร็ว

ความมั่นใจด้วยประสบการณ์ตรงว่า ตนทำงานร่วมกับ กระทรวงสาธารณสุข และ สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) มา กว่า 20 ปี และ “ยุคที่ผ่านมาเป็นยุคที่ดีที่สุด” เพราะ หน่วยงานรัฐ “ฟังเอกชน” มากขึ้น เห็นได้จากการที่ สภาอุตสาหกรรมฯ ได้เข้าไปนั่งใน คณะทำงานแทบทุกคณะ ซึ่งอดีต “ไม่เคยมี” การมีส่วนร่วมในระดับนี้ “ทุกเรื่องคุยกันได้” และทำให้การกำหนดกติกาเดินไปพร้อมกัน

สารหลักจากเอกชนคือ “อย่าเปลี่ยนอะไรเลยในระยะสั้น” ให้นำ ความต่อเนื่อง เป็นหลัก โดยเฉพาะ สมุนไพรไทย นวดไทย ที่กำลังได้แรงส่งจากเวทีโลก และกำหนด ความชัดเจนเชิงนโยบาย ให้ผู้ประกอบการปรับตัวได้ทันเวลา หากมีแนวคิดใหม่ “ประกาศให้ชัด” เอกชนพร้อมปรับ แต่ “ไม่ชัด” คือความเสี่ยงที่ทำให้การตัดสินใจชะงัก