จี้อุดช่องโหว่ ‘บัตรทอง’ ป้อง 'วิกฤต'โรงพยาบาลรัฐ ใน 3 ปี

04 มิ.ย. 2568 | 05:57 น.
อัปเดตล่าสุด :04 มิ.ย. 2568 | 06:51 น.

“สว.วีระพันธ์” เตือนภาพรวมปัญหาสะสมโรงพยาบาล 218 แห่งติดลบ เงินบำรุงลดปีละ 2 หมื่นล้าน ด้าน “รมว.สาธารณสุข” ยันไม่ล่มสลาย สปสช.เตรียมตั้งกรรมการกลางศึกษาต้นทุนจริง

นพ.วีระพันธ์ สุวรรณนามัย สมาชิกวุฒิสภา ให้สัมภาษณ์พิเศษกับฐานเศรษฐกิจ เตือนว่าระบบสาธารณสุขไทยกำลังเผชิญภาวะวิกฤตที่สะสมมาเป็นเวลาหลายปี และหากไม่มีการแก้ไขอย่างจริงจังและมีประสิทธิภาพ อาจเข้าสู่ภาวะล่มสลายในอีก 3 ปีข้างหน้า แต่ขณะนี้ยังถูกมองข้ามหรือไม่ยอมรับโดยบางฝ่ายในระบบราชการ ทำให้ไม่สามารถแก้ไขได้ตรงจุด

 

นพ.วีระพันธ์ยกตัวอย่างสัญญาณปัญหาหลังจากมีนโยบายส่งเสริมการใช้บริการสาธารณสุขมากขึ้น แต่จำนวนบุคลากรและทรัพยากรยังไม่เพียงพอและลดลง ทำให้เกิดปัญหา อาทิ กรณีเจ้าหน้าที่แพทย์ถูกทำร้ายร่างกาย บุคลากรแพทย์และพยาบาลลาออกจำนวนมาก โดยเฉพาะแพทย์อินเทิร์น ปัญหาเรื่องเงินเดือนและเงินตกเบิกที่ล่าช้าและจ่ายไม่ครบ โรงพยาบาลหลายแห่งเผชิญภาวะขาดเงินหมุนเวียนอย่างรุนแรง และงบประมาณสนับสนุนโรงพยาบาล (เงินบำรุง) ลดลงปีละ 20,000 ล้านบาทในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา

ตัวเลขชี้วิกฤติการเงิน

 

จากข้อมูลล่าสุดที่ นพ.วีระพันธ์ เปิดเผย โรงพยาบาลรัฐ 218 แห่ง จากทั้งหมดประมาณ 900 แห่ง มีภาวะขาดเงินบำรุงติดลบอย่างรุนแรง โดย 10 อันดับแรกติดลบกว่า 1,900 ล้านบาท และมีโรงพยาบาลอีกกว่า 91 แห่งที่มีเงินหมุนเวียนต่ำกว่า 5 ล้านบาท ซึ่งเพียงพอใช้จ่ายได้ไม่เกินเดือนเดียว

 

“หากสถานการณ์นี้ยังดำเนินต่อไปอีก 3 ปี โรงพยาบาลส่วนใหญ่จะไม่สามารถดำเนินงานต่อได้ตามปกติ ซึ่งหมายความว่าอาจไม่มีเงินเพียงพอสำหรับการจัดหายาและอุปกรณ์รักษาพยาบาล ส่งผลกระทบโดยตรงต่อประชาชนที่ใช้บริการ” นพ.วีระพันธ์อธิบาย

ยืนยัน รพ.ยังได้เงินไม่ครบ

 

นพ.วีระพันธ์ ชี้ให้เห็นว่า แม้สปสช.จะยืนยันว่าได้จ่ายเงินเต็มตามสัญญาแล้ว แต่ในทางปฏิบัติ โรงพยาบาลหลายแห่งยังไม่ได้รับเงินตามจำนวนจริง ส่งผลให้ต้องใช้เงินบำรุงที่มีอยู่อย่างจำกัดมาเป็นทุนหมุนเวียน หากเงินบำรุงเหลือน้อยลงอย่างต่อเนื่อง ปีถัดไปจะติดลบหนักขึ้นและนำไปสู่ภาวะล่มสลายของระบบในที่สุด

 

เสนอแนวทางแก้ไข 3 ระยะ

 

นพ.วีระพันธ์เสนอแนวทางแก้ไขปัญหาใน 3 ระยะ ประกอบด้วย ระยะสั้น ควรจัดสรรงบประมาณให้โรงพยาบาลได้รับเงินเต็มจำนวนอย่างรวดเร็ว เพื่อให้มีเงินหมุนเวียนบริหารจัดการได้ทันที และหยุดการสร้างนโยบายใหม่จนกว่าปัญหาพื้นฐานได้รับการแก้ไข

 

ระยะกลาง ต้องปรับปรุงระบบการคำนวณต้นทุนค่ารักษาพยาบาลให้สอดคล้องกับต้นทุนที่แท้จริง แก้ไขปัญหาความไม่สอดคล้องระหว่างเงินที่จ่ายกับค่าใช้จ่ายจริงของโรงพยาบาล

 

ส่วนระยะยาว ควรพิจารณาปรับแก้กฎหมายที่เกี่ยวข้อง เช่น พระราชบัญญัติสุขภาพ เพื่อให้ระบบบริหารจัดการมีประสิทธิภาพมากขึ้น ลดความซ้ำซ้อนและหน่วยงานกลางที่ไม่จำเป็น

 

“ผู้บริหารและนักการเมืองต้องฟังเสียงจากหน้างานอย่างจริงใจ ยอมรับปัญหาที่แท้จริง และร่วมกันหาแนวทางแก้ไขอย่างจริงจัง เพื่อป้องกันไม่ให้ระบบสาธารณสุขไทยเข้าสู่จุดวิกฤติในอีก 3 ปีข้างหน้า”

 

จี้อุดช่องโหว่ ‘บัตรทอง’ ป้อง 'วิกฤต'โรงพยาบาลรัฐ ใน 3 ปี

 

รมว.สาธารณสุขโต้ไม่ล่มสลาย

 

ในทางตรงกันข้าม นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ออกมาโต้แย้งกรณีดังกล่าวที่มีการวิพากษ์วิจารณ์ว่านโยบาย 30 บาทรักษาทุกที่จะล่มภายใน 3 ปีว่า ผู้ที่เกี่ยวข้องในเขตกทม. มีการประชุมร่วมกันในประเด็นการคิดเงินผู้ป่วยในที่มีการประเมินไว้จะมีค่าใช้จ่ายประมาณ 9 ล้านจุด จุดละ 8,350 บาท แต่ปรากฎว่าในรอบปีมีผู้ป่วยเพิ่มขึ้นมากกว่าการคาดการณ์ โดยคลาดเคลื่อนไป 8.37% จึงต้องมีการลดเงินในส่วนของผู้รับจ้าง

 

นายสมศักดิ์อธิบายต่อว่า ทำให้ผู้ให้บริการที่มารับจ้างสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) คิดว่าถ้าลดจาก 8,350 บาท มาเป็น 7,100 บาทก็จะขาดทุน แล้วปากคนยาวกว่าปากกาพอพูดว่ามันจะเจ๊งจะล้มละลาย

 

“การที่เป็นแบบนี้ เพราะมีการนับผิดหรือจำนวนคนป่วยเพิ่มมากขึ้น จะไปล้มละลายได้อย่างไร เพราะ 30 บาทรักษาทุกที่เป็นนโยบายที่รัฐบาลการันตี จึงแนะนำให้ตั้งคณะกรรมการตรวจสอบเรื่องการจ่ายเงิน และตรวจสอบความถูกต้อง” นายสมศักดิ์ยืนยัน

 

สปสช.ยืนยันไม่ปรับลดอัตรา

 

ด้านทพ.อรรถพร ลิ้มปัญญาเลิศ รองเลขาธิการ สปสช. ในฐานะโฆษก สปสช. ชี้แจงทิศทางบริหารงบประมาณกองทุนบัตรทองว่า จากที่มีการระบุเรื่องงบประมาณกองทุนหลักประกันสุขภาพแห่งชาติหรือบัตรทอง 30 บาท ว่าไม่เพียงพอและเสี่ยงล่มสลายภายใน 3 ปีนั้น สปสช. ขอย้ำว่าประชาชนไม่ต้องตื่นตระหนก และขอยืนยันว่าระบบหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าของไทยไม่อยู่ในความเสี่ยงที่จะล่มสลาย

 

“ประเทศไทยได้รับการยกย่องจากนานาประเทศในเรื่องนี้ และเป็นผลงานที่รัฐบาลนำไปเสนอในเวทีระดับโลกมาโดยตลอด และไทยก็ยังเป็นต้นแบบให้กับหลายๆ ประเทศที่กำลังจะทำหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าให้กับประชาชนในประเทศ”
 ทพ.อรรถพรย้ำว่า เรามีหน่วยบริการสาธารณสุขภาครัฐทั้งกระทรวงสาธารณสุข โรงเรียนแพทย์ ภาครัฐอื่นๆ ท้องถิ่น และเอกชนที่เข้มแข็งและให้บริการกับประชาชนด้วยใจอย่างเต็มที่เสมอมา แม้จะมีทรัพยากรที่จำกัด ซึ่งตัวระบบหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าของไทยก็ไม่ได้อยู่นิ่ง มีการพัฒนา ปรับปรุงเปลี่ยนแปลงมาตลอด เพื่อให้สอดคล้องกับสถานการณ์ต่างๆ โดยมีเป้าหมายเพื่อความยั่งยืนของระบบ

 

ชี้แจงตัวเลขอัตราจ่าย

 

ทพ.อรรถพรชี้แจงว่า ตัวเลขอัตราจ่ายผู้ป่วยใน 7,100 บาทต่อหัวนั้นเป็นการคำนวณจากจำนวนการใช้บริการผู้ป่วยในที่เพิ่มขึ้น ซึ่ง สปสช. ได้นำเข้าที่ประชุมคณะอนุกรรมการกำหนดหลักเกณฑ์การดำเนินการงานและการบริหารจัดการกองทุนเมื่อวันที่ 22 พฤษภาคม 2568 ที่ผ่านมา ได้ข้อสรุปว่ายืนยันอัตราจ่ายผู้ป่วยในที่ 8,350 บาทต่อหัวและ สปสช. จะเสนอของบประมาณเพิ่มเติมต่อไป ดังนั้นไม่มีการปรับลดอัตราจ่ายผู้ป่วยในเหลือ 7,100 บาทอย่างแน่นอน”

 

อธิบายระบบ Global Budget

 

ทพ.อรรถพรอธิบายว่า การที่งบประมาณการจ่ายค่าบริการผู้ป่วยในเป็นงบประมาณปลายปิด หรือ Global budget นั้น เนื่องจากเป็นไปตามแนวทางวิชาการของการบริหารงบประมาณกองทุนหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ซึ่งประเทศที่มีหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าให้กับประชาชนใช้หลักการนี้เพื่อให้เกิดความยั่งยืนของระบบ

 

“ในส่วนของประเทศไทย เราใช้หลักการว่าต้องไม่ต่ำกว่า8,350 บาทต่อหัว หากปลายปีงบประมาณไม่เพียงพอให้เสนอของบประมาณเพิ่มเติม ซึ่งในการจ่ายเงินให้กับหน่วยบริการนั้น สปสช. ได้รับงบประมาณมาเท่าไหร่ ก็จ่ายตามระเบียบและหลักเกณฑ์ที่กำหนดตามกฎหมายให้กับโรงพยาบาลไปทั้งหมด หากปีไหนมีเงินเหลือก็โอนเพิ่มให้โรงพยาบาลเช่นกัน” ทพ.อรรถพรอธิบาย

 

ทพ.อรรถพรยกตัวอย่างว่า ในปี 2561-2564 การให้บริการผู้ป่วยในลดลง ทำให้มีงบประมาณเหลือ สปสช. ก็จัดสรรเพิ่มเติมให้โรงพยาบาลไปทั้งหมด

 

สปสช.เผยว่าในปีงบประมาณ 2567 ได้รับจัดสรรงบกลาง 5,924 ล้านบาท โดยจัดสรรค่าบริการ 30 บาทรักษาทุกที่ 1,705 ล้านบาท และส่วนที่เหลือนำมาจัดสรรค่าบริการผู้ป่วยในให้หน่วยบริการในอัตราไม่เกิน 8,350 บาทต่อหัว

 

เตรียมตั้งกรรมการกลางศึกษาต้นทุน

 

เพื่อแก้ไขปัญหาอย่างยั่งยืน สปสช.จะเสนอให้คณะรัฐมนตรีแต่งตั้งคณะกรรมการที่เป็นกลางมาศึกษาอัตราจ่ายที่เหมาะสมสำหรับกองทุนประกันสุขภาพภาครัฐ เพื่อให้ได้ข้อมูลต้นทุนที่แท้จริงของโรงพยาบาลและคำนวณเป็นอัตราจ่ายที่เหมาะสมต่อไป

 

นอกจากนี้ สปสช.ยังพบการบันทึกตัวเลขทางบัญชีไม่ถูกต้องประมาณ 7,000 ล้านบาท หากแก้ไขตรงนี้จะช่วยเพิ่มสภาพคล่องของโรงพยาบาลได้

 

ส่องงบฯ สธ.-สปสช.ได้รับงบฯเพิ่มขึ้นปี

 

“ฐานเศรษฐกิจ” ตรวจสอบพบร่างพ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายปี 2569 พบว่ากระทรวงสาธารณสุขได้รับงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2569 จำนวน 177,639.6 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปี 2568 ที่ 171,965.7 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 3.3%

 

ส่วนสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) ในปี 2569 ได้รับงบประมาณจำนวน 1,710.7 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปี 2568 ที่ 1,564.5 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 146.2 ล้านบาท