ทัวร์จีนป่วนรัฐเข้มจัดระเบียบ 177บริษัทประชุมด่วนพัทยาวูบ50%

05 ก.ย. 2559 | 14:00 น.

Thansettakij เว็บไซต์ข่าวฐานเศรษฐกิจ ผนวกไลฟ์สไตล์ Start up SMEs อสังหาริมทรัพย์ การเงิน การลงทุน การตลาด เศรษฐกิจ เทคโนโลยี Breaking News อัพเดตข่าวล่าสุดที่นี่

ตลาดทัวร์จีนป่วน 177 บริษัทนัดหารือด่วนหาแนวทางรับมือ หลังรัฐบาลเอาจริง ไล่กวาดล้างทัวร์ศูนย์เหรียญ เข้าตรวจสอบ "โอเอทรานสปอร์ต" ทัวร์ยักษ์ใหญ่พ่วงตั้งข้อหา "อังยี่" ด้านผู้บังคับการตำรวจท่องเที่ยวยันเอาจริง ไม่มีลูบหน้าปะจมูก พร้อมทำคู่ขนานกับปปง. สอบเส้นทางการเงิน ด้านทีเอชเอ ภาคตะวันออก เผยการปราบปรามกระทบโรงแรม 3 ดาวและแหล่งท่องเที่ยวในพัทยาวูบ 30-50 % ฟาก"ยุทธศักดิ์"เร่งหาตลาดคุณภาพเสริม

หลังจากรัฐบาลโดยพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้กำชับให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งปราบปรามทัวร์ศูนย์เหรียญ มีการจับกุมผู้กระทำความผิดอย่างต่อเนื่อง ล่าสุดจากการเข้าตรวจสอบบริษัท โอเอ ทรานสปอร์ตจำกัด ซึ่งเป็นเครือข่ายทัวร์ศูนย์เหรียญรายใหญ่สุดของประเทศ ที่มีธุรกิจครบวงจร และห้ามคนไทยเข้า อาทิ ร้านจิวเวลลี่ อัญมณี เครื่องหนัง ร้านอาหาร และรถบัสร่วม 2.7 พันคันโดยตั้งข้อหา "อั้งยี่" ร่วมกันทำลายอุตสาหกรรมท่องเที่ยวไทย จนเกิดผลกระทบกับการดำเนินธุรกิจของบริษัทนำเที่ยวตามมา โดยเมื่อวันที่2 กันยายน 2559 สมาคมผู้ประกอบการธุรกิจท่องเที่ยวสัมพันธ์ไทย-จีน (ทีซีทีเอ) ได้เรียกสมาชิกประชุมด่วนเพื่อหารือในเรื่องดังกล่าว

นายชนะพันธ์ แก้วเกล้าไชยวุฒิ อุปนายกสมาคมผู้ประกอบการธุรกิจท่องเที่ยวสัมพันธ์ไทย-จีน หรือ ทีซีทีเอ เปิดเผยกับ "ฐานเศรษฐกิจ" ว่า ทางสมาคมไม่ได้คัดค้านเรื่องการบังคับใช้กฎหมายของรัฐบาลในการจัดระเบียบทัวร์จีน และสนับสนุนเต็มที่ ซึ่งล่าสุด ผู้ประกอบทัวร์จีน จำนวน 177 บริษัท ได้จัดประชุมร่วมกันเมื่อวันที่ 2 กันยายน2559 เพื่อเตรียมการในการสื่อสารกับคู่ค้าในจีนให้เข้าใจตรงกันถึงมาตรการที่รัฐบาลไทยกำลังจัดระเบียบทัวร์จีน ซึ่งจะมีการนัดหมายกันเพื่อแจ้งแก่ฝ่ายจีนรับทราบ ผู้ประกอบการจึงขอเวลาหารือกันว่าจะเริ่มดำเนินการตามมาตรการของรัฐบาลได้เมื่อไหร่ คงไม่กำหนดเวลาตายตัวว่ากี่วัน แต่ต้องสื่อสารให้จีนเข้าใจ และต้องเริ่มดำเนินการพร้อมกัน ฝ่ายจีนต้องส่งเงินค่าทัวร์เข้ามา จากเดิมที่จะเก็บจากนักท่องเที่ยวโดยตรง แต่ก็ห่วงว่าถ้าบริษัททัวร์จีนเบี้ยวใครจะรับผิดชอบ

นายสุธรรม เดชมี รองอธิบดี กรมการท่องเที่ยว เผยว่า จากการร่วมประชุมกับผู้ประกอบการทัวร์จีน ก็คงจะนำไปพิจารณาหาทางออกที่ดีที่สุด แต่ไม่ใช่ผ่อนปรนกฎหมาย ซึ่งที่ผ่านมาจับกุมบริษัทนอมินีจากการตรวจสอบพบว่า เจ้าของบริษัทมีรายได้เข้าบัญชีส่วนตัวปีละร้อยกว่าล้านบาท แต่เสียภาษีเพียงแสนกว่าบาทต่อปี ซึ่งเป็นเรื่องที่รัฐบาลรับไม่ได้ นอกจากนี้ยังในการจับบริษัท ทรานลี่ ทราเวิล จำกัด ที่ภูเก็ต ก่อนหน้านี้ มีมัคคุเทศก์ 500 คนมาร้องขอเงินคืนหลังจากถูกเจ้าของบริษัททัวร์บังคับให้วางเงินกันคนละแสนบาท จึงแจ้งว่าจะคืนให้แต่ต้องเป็นไกด์ที่มีใบอนุญาตถูกต้องตามกฎหมาย ปรากฏว่ามี 300 คน อีกทั้งในวันที่ 6 กันยายนนี้จะเอาทรัพย์สินของบริษัททรานลี่ฯมาประมูลขายทอดตลาด ขณะเดียวกันมีอีก 6 บริษัทที่สงสัยว่าจะเป็นนอมินีซึ่งได้ส่งเรื่องให้ดีเอสไอแล้ว

ด้านนายสรรเพชร ศุภบวรเสถียร นายกสมาคมโรงแรมไทย ภาคตะวันออก เผยว่านโยบายการจับกุมทัวร์ศูนย์เหรียญของรัฐบาล ถือเป็นการจัดระเบียบการดำเนินธุรกิจที่จะส่งผลดีในระยะยาว แต่ในขณะนี้ก็ต้องยอมรับว่าส่งผลกระทบต่อผู้ประกอบการในพัทยา เพราะเป็นเมืองท่องเที่ยวหลักของนักท่องเที่ยวจีน โดยโรงแรมระดับ 3 ดาว รวมถึงโรงแรมในตรอกซอกซอย ที่ขายห้องพักคืนละ 800-900 บาท จะได้รับผลกระทบจากการถูกยกเลิกห้องพักเฉลี่ยราว30-40% เนื่องจากเป็นโรงแรมที่เอเย่นต์ทัวร์จีนที่ขายทัวร์มาไทยเป็นกรุ๊ป นิยมใช้บริการ ขณะที่โรงแรมในระดับ 4-5 ดาวในพัทยา ยังไม่ได้รับผลกระทบในเรื่องนี้ ยอดการจองห้องพักยังคงเป็นปกติ และในขณะนี้ยังไม่มีการบอยคอตการส่งทัวร์จีนมาไทยแต่อย่างใด

นายยุทธศักดิ์ สุภสร ผู้ว่าการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ให้ความเห็นว่าจากการสำรวจเมื่อวันที่ 30 สิงหาคม2559 พบว่า อัตราการเข้าพักโรงแรมในระดับสามดาวหายไปราว 50 % ส่วนแหล่งท่องเที่ยวต่างๆ ที่ทัวร์จีนนิยมไปท่องเที่ยวหายไปราว 30 % ในพื้นที่กรุงเทพและพัทยาที่ได้รับผลกระทบ แต่การดำเนินการดังกล่าวถือเป็นเรื่องที่ดีเพราะเท่ากับเป็นการจัดระเบียบการท่องเที่ยว ทำให้เกิดการกระจายรายได้ไปยังคนไทยไม่ใช่คนจีนกินรวบหมด

อย่างไรก็ดี ททท.ต้องเร่งหาตลาดทัวร์คุณภาพเข้ามาเสริม ได้สั่งการ 5 สำนักงานในจีนไปโปรโมตนักท่องเที่ยวจากเมืองรอง และปรับสู่ตลาดทัวร์คุณภาพ พร้อมทั้งรุกเข้าไปเจาะตลาดเอฟไอทีเพิ่มมากขึ้น ซึ่งตลาดนี้มีสัดส่วนตลาดอยู่ที่ 60 % เราต้องเพิ่มสัดส่วนให้มากขึ้น เหมือนกับตลาดเซี่ยงไฮ้ที่มีสัดส่วนตลาดเอฟไอที 80 % กลุ่มทัวร์ 20 % เราจะยึด เซี่ยงไฮ้เป็นโมเดลในการทำตลาดจีน

นางศรีสุดา วนภิญโญศักดิ์ รองผู้ว่าการททท.ตลาดเอเชีย และแปซิฟิกใต้ กล่าวว่าการทำตลาดทัวร์จีนของททท.จะเน้นทำตลาดคุณภาพ โดยจะร่วมมือกับทีซีทีเอ คัดกรองสมาชิกที่มีคุณสมบัติ เพื่อร่วมกันขายทัวร์คุณภาพ ซึ่งจะแบ่งเป็นควอลิตี แพ็กเกจ และควอลิตีเอเยนต์ เพื่อนำไปบุกตลาดการขายในจีน รวมถึงโรดโชว์ในจีน ซึ่งททท.สนับสนุนงบประมาณในการทำบิสิเนส แมตชิ่ง

ขณะที่แหล่งข่าวในวงการท่องเที่ยวกล่าวเสริมว่า ขณะนี้ทัวร์ที่จ่ายเงินไว้แล้วก็ยังเดินทางโดยแบ่งออกเป็น 2 กลุ่มคือ ที่เดินทางกับชาร์เตอร์ไฟลต์ บางส่วนก็ยกเลิกไปบ้างเพราะขายมาในราคาต่ำ กับที่ใช้บริการของสายการบินประจำ พวกนี้ส่วนใหญ่ยังเดินทาง โดยบริษัทนำเที่ยวยอมขาดทุนและปรับแผนไปใช้รถบัสของบริษัทอื่นจากเดิมที่เคยให้บริการในเครือข่ายของ โอเอทรานสปอร์ต

"ข้อหาอั้งยี่ ถือเป็นข้อหาที่ร้ายแรงมากสำหรับความรู้สึกของคนจีน บริษัทนำเที่ยวจึงเกิดความลังเลว่าจะจัดทัวร์เข้ามาหรือไม่ อีกทั้งข่าวสารที่ถูกแปลออกไปทำให้เกิดความเกรงกลัวเพราะเป็นการประกาศของรัฐบาลไทย" แหล่งข่าวกล่าวทิ้งท้าย

ด้านพล.ต.ต.สุรเชษฐ์ หักพาล ผู้บังคับการตำรวจท่องเที่ยว เผยว่า การจับกุมและยึดทรัพย์ มีเหตุผลชัดเจน ที่ผ่านมาเราไม่ได้ใช้ยาแรง แต่ตอนนี้จับไม่พอ ยังยึดทรัพย์ ยึดใบอณุญาต อย่างกรณี โอเอทรานสปอร์ต ก็ต้องให้ความเป็นธรรมเขาเหมือนกันเพราะเขาเป็นคนไทยไม่ใช่คนเข้ามาสวมสิทธิ์คนไทย จึงได้ประกันตัว ต่อสู้คดี และสั่งหยุดธุรกิจไม่ได้ จึงต้องดำเนินการภายใต้พื้นฐานของกฎหมาย

"เรื่องนี้ไม่มีทางเป็นอย่างอื่น เราดำเนินการชัดศาลอาญาออกหมายจับ ท่านเลขาธิการปปง.ก็จะตรวจสอบเส้นทางการเงินว่าฟอกเงินหรือเปล่า จะทำคู่ขนานกันไปจากเอกสารที่ยึดมา 60 ลัง"

ส่วนข้อกังวลที่ว่าจะมีผลตามมาหรือไม่ ผู้บังคับการตำรวจท่องเที่ยว กล่าวว่า " อาจจะสวิงนิดหนึ่ง แต่ก็มีเอกชนหลายส่วนที่มีรถบัสบริการก็ไม่มีโอกาสทำงานทั้งที่เป็นบริษัทที่จดทะเบียนถูกต้องตามกฎหมาย เขารู้สึกดีใจ ที่จะได้ออกมาแข่งขันอย่างเสรี ตรงนี้เราทำโดยชัดเจนไม่ได้ลูบปากปะจมูก"

นางกอบกาญจน์ วัฒนวรางกูร รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา กล่าวว่า กองบังคับการตํารวจท่องเที่ยวรายงานข้อมูลเร่งด่วนและล่าสุดมายังตนถึงความคืบหน้าล่าสุดในการเอาผิดกับ ผู้ต้องหาในข้อหา"ร่วมกันกระทำการเป็นอั้งยี่และร่วมกันทำลายอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว" ซึ่งหัวใจหลักคือต้องทำคดีอย่างรัดกุม เพื่อไม่ให้ขบวนการนี้สร้างความเสียหายให้ประเทศต่อประเทศไทยได้อีก โดยเรื่องนี้ ฯพณฯ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ด้านความมั่นคงได้ให้ความสำคัญมากสั่งการกำชับมายังตนเองโดยตรงให้ดำเนินการตามกฎหมายอย่างเคร่งครัด เพราะคดีมีมูลค่าเสียหายสูง เกรงจะเกิดยักย้ายถ่ายเท

โดยพบว่า บริษัท โอเอทรานสปอร์ต จำกัด อาศัยความฉ้อฉลไม่จดทะเบียนเป็นบริษัททัวร์แต่ทุกบริษัททัวร์โดยเฉพาะบริษัทที่รับนักท่องเที่ยวจากเมืองจีน ใช้ไกด์เถื่อน จะเข้ามาเป็นเครือข่ายกับบริษัทโอเอฯ และนำลูกทัวร์มาซื้อสินค้าในบริษัทร้านค้า ร้านอาหารของบริษัทโอเอฯ ทั้งหมด และโอเอฯจะเก็บ40 % ของรายได้ที่ลูกทัวร์ไปซื้อสินค้าของร้านตนเอง โดยไม่มีการเสียภาษีแต่อย่างใด โดยมีลูกทัวร์ใช้บริการวันละ 2หมื่นคน แต่ไม่มีเงินเข้าประเทศ โดยบริษัทโอเอฯ จะมีรายได้เฉลี่ยปีละหลายพันล้าน น่าจะเกือบหมื่นล้านด้วยซ้ำ

ทั้งได้นำกำลังตำรวจท่องเที่ยว กรมสรรพากร กรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ กรมการท่องเที่ยว กองบังคับการปราบปรามอาชญากรรมทางเศรษฐกิจ กองบังคับการปราบปรามการคุ้มครองผู้บริโภค หน่วยทหารในพื้นที่ บูรณาการกำลังร่วมตรวจค้น 5 จุด คือ 1.บริษัทโอเอทรานสปอร์ต จำกัด 2.บริษัทบางกอกแฮนดิคราฟ จำกัด 3.บริษัทรอแยล พาราไดซ์จำกัด 4.บริษัทรอแยลเจมส์อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด และ5.บริษัทรอแยลไทยเฮิร์บ จำกัด

ขณะนี้ได้ตรวจยึดเอกสารเกี่ยวกับชำระภาษีเพื่อจะดำเนินการทางมาตรการภาษีจำนวน 60 ลัง ยึดหมอนที่นอน เครื่องหนัง เจลเวลลี่ ที่ไม่ติดสลากเพื่อที่จะขายเกินราคาจำนวน 170 รายการ และจับกุมไกด์เถื่อน และดำเนินคดีกรณีรถบัสที่ไม่เสียภาษี และต่อเติมโดยผิดกฎหมาย โดยทำหน้าที่รวบรวมข้อมูลมาเกือบ 1 ปี และขณะนี้ก็ยังคงเก็บข้อมูลเพิ่ม

นางกอบกาญจน์กล่าวว่า ทั้งนี้ ทราบข้อมูลล่าสุดจากตำรวจท่องเที่ยวว่าขณะนี้ ผู้ต้องหาได้รับการประกันตัวโดยสน.พญาไท เนื่องจากขั้นตอนการทำคดีตำรวจท่องเที่ยวจะทำหน้าที่ในการรวบรวมหลักฐานเท่านั้น อย่างไรก็ตามในส่วนของตำรวจท่องเที่ยวก็จะเดินหน้าในการเก็บข้อมูลหลักฐานคดีนี้เพิ่มเติมต่อไปอย่างแน่นอน โดยในส่วนของตำรวจท่องเที่ยวหลังจากนี้ไปจะต้องขยายผลและรวบรวมพยานหลักฐานเพื่อหาความเชื่อมโยงกับนอมินีของจีนต่อรวมถึงเรื่องการประสานปปง.ในการเข้ายึดทรัพย์ต่อไป

จากหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 36 ฉบับที่ 3,187 วันที่ 4 - 7 กันยายน พ.ศ. 2559