SPRC ปริมาณจำหน่ายไตรมาส 2/67 หด หลังพ้นไฮซีซัน

08 พ.ค. 2567 | 23:00 น.

SPRC มองค่าการกลั่นไตรมาส 2/67 ลดลงตามปัจจัยฤดูกาล หลังผ่านไฮซีซันช่วงไตรมาสแรกไปแล้ว ลุ้นปี 67 พลิกกลับมามีกำไร หากมาร์จิ้นของโรงกลั่นในช่วงที่เหลือปีนี้รักษาระดับได้ใกล้กับไตรมาส 1/67

นางนุสรา สมเกียรติวีระ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ ฝ่ายการเงินและบัญชี บริษัท สตาร์ ปิโตรเลียม รีไฟน์นิ่ง จำกัด (มหาชน) หรือ SPRC เปิดเผยว่า ประเมินภาพรวมธุรกิจโรงกลั่นในช่วงไตรมาส 2/2567 บริษัทคาดค่าการกลั่นมีแนวโน้วที่จะปรับตัวลดลงจากไตรมาสก่อนหน้า จากความต้องการใช้น้ำมันดิบที่ลดลงตามปัจจัยฤดูกาล หลังผ่านช่วงไฮซีซั่นไปแล้วในไตรมาสแรก และอุปทานที่เพิ่มขึ้นหลังจากโรงกลั่นทั้งในแถบเอเชียและสหรัฐฯ กลับมาดำเนินงานหลังปิดซ่อมบำรุงไปในช่วงก่อนหน้านี้

ทั้งนี้ บริษัทคาดการณ์ว่าราคาน้ำมันดิบยังคงผันผวนอยู่ในระดับสูง แม้กลุ่มโอเปกพลัสจะมีการลดกำลังการผลิตลง แต่กลุ่มนอกโอเปก (Non-OPEC) มีการผลิตน้ำมันมากขึ้น และยังมีปัจจัยหนุนจากสถานการณ์ความไม่สงบในตะวันออกกลาง รวมถึงรัสเซียและยูเครน ปัจจุบันราคาน้ำมันดิบเคลื่อนไหวอยู่ที่ระดับ 84 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล โดยหากว่าราคาน้ำมันดิบยังเคลื่อนไหวในกรอบ 84-85 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล ก็อาจทำให้บริษัทไม่มีกำไร หรือขาดทุนจากสต็อกน้ำมัน

ขณะที่ Crude premium ในช่วงไตรมาส 2/2567 นั้น มองว่ายังคงทรงตัวต่อเนื่องจากไตรมาส 1/2567 ที่ 84 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล ลดลงเมื่อเทียบช่วงเดียวกันกับปีก่อน รวมถึงราคาผลิตภัณฑ์ โดยก๊าซโซลีน คาดทรงตัวจากไตรมาสแรก เนื่องจากเป็นช่วงถือศีลอด ของอินเดีย หนุนต่อความต้องการใช้งานก๊าซโซลีนที่สูงขึ้น, น้ำมันอากาศยาน และดีเซล อาจปรับตัวลง เนื่องจากเป็นโลซีซั่นดีมานด์ หลังผ่านช่วงฤดูหนาวมาแล้ว

"มองว่าดีมานด์ในไตรมาส 2/67 จะย่อตัวลงจากไตรมาสก่อนหน้า ตามปัจจัยฤดูกาล ส่วนซัพพรายยังมีแนวโน้มขยายตัว แม้กลุ่มโอเปกพลัสจะขยายเวลาในการลดกำลังการผลิต แต่กลุ่ม Non-OPEC ยังคงเดินหน้าผลิตเพิ่มอย่างต่อเนื่อง สำหรับกำไรส่วนต่างราคาน้ำมันในสต็อกนั้น มองว่าในไตรมาส 2/67 หากราคาน้ำมันดิบโลกแกว่งในกรอบ 84-85 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล ก็อาจไม่มีกำไร แต่ก็ไม่ได้ขาดทุน"

ในส่วนของแผนการลงทุนในปี 2567 นั้น บริษัทวางงบประมาณไว้ที่ 40-50 ล้านเหรียญฯ ใกล้เคียงเมื่อเทียบช่วงเดียวกันกับปีก่อน โดยเงินลงทุนหลักๆ จะรองรับการเพิ่มประสิทธิภาพของโรงกลั่น เพิ่มมูลค่าน้ำมันและการกลั่น ทำให้การผลิตมีประสิทธิภาพมากขึ้น รวมถึงขยายสถานีบริการน้ำมัน แบรนด์ คาลเท็กซ์ เป็นต้น ซึ่งการลงทุนในธุรกิจสถานีบริการน้ำมันนั้น บริษัทหวังเพิ่มยอดขายให้ได้สูงขึ้น ผ่านช่องทางการขายที่มีศักยภาพ และหาพาสเนอร์ เพื่อรองรับการเติบโตในอนาคต และเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน รวมถึงจะสร้างผลกำไรจากการค้าปลีก ผ่าน Non-Fuel Retail, i.e., Establish exclusive NFR partners, Fuel/non-fuel ecosystem with Caltex reward

นอกจากนี้ บริษัทยังมองโอกาสในการลงทุนในอนาคต โดยธุรกิจการกลั่น จะมุ่งเน้นการเพิ่มผลกำไรจากโรงกลั่นในช่วง T&I หรือในช่วงปิดซ่อมบำรุงในปี 2569 นี้ จากการเพิ่มความยืดหยุ่นในการใช้น้ำมันดิบที่เบากว่า เพื่อให้สามารถผลิตน้ำมันอากาศยาน (Jet) และน้ำมันเบนซินได้มากขึ้น รวมถึงการอัพเกรดผลิตภัณฑ์หนักให้เป็นน้ำมันเบนซินหรือดีเซล ที่สามารถขายได้ในราคาที่สูง รวมถึงหาโอกาสในการทำงานร่วมกัน เพื่อตอบสนองความต้องการของทั้งการตลาด และปรับการผลิตให้เหมาะสม รวมถึงสำรวจโอกาสทางธุรกิจ Bio & Circular กับพันธมิตรด้านปิโตรเคมี และศึกษาโอกาสการบูรณาการกับธุรกิจปิโตรเคมี เพื่อแสวงหาผลกำไร

อย่างไรก็ตาม ผลการดำเนินงานในปี 2567 นี้ บริษัทมั่นใจว่าจะสามารถกลับมามีกำไรสุทธิได้ หลังจากที่ในปีก่อนมีผลขาดทุนสุทธิราว 1,229 ล้านบาท โดยในไตรมาส 1/2567 บริษัทพลิกมีกำไรสุทธิมาแล้ว ที่ 3,943.25 ล้านบาท (หรือคิดเป็นประมาณ 110 ล้านเหรียญสหรัฐ) ขณะที่กำไรสุทธิปีนี้จะกลับไปเท่ากับปี 2565 ที่เคยทำได้ราว 7,673.80 ล้านบาท ได้หรือไม่ มองขึ้นอยู่กับมาร์จิ้นของโรงกลั่นในช่วงที่เหลือของปีว่าจะรักษาระดับได้ใกล้กับไตรมาส 1/2567 ได้