อาณาจักรธุรกิจครอบครัว ‘ฮุน เซ็น’
โกลเบิล วิตเนส (Global Witness) หน่วยงานเอ็นจีโอที่ดังในเรื่องเปิดโปงเบื้องหลังกลโกงเพื่อกอบโกยจากทรัพยากรธรรมชาติของประเทศด้อยพัฒนาต่าง ๆ ออกรายงานพิเศษชื่อ Hostile Takeover ปลายสัปดาห์ที่ผ่านมาระบุว่า สมาชิกตระกูลฮุนของนายกรัฐมนตรี ฮุน เซ็น ครอบครองอาณาจักรธุรกิจใหญ่ในกัมพูชา มีบริษัทในเครืออย่างน้อย 114 บริษัทกุมธุรกิจสำคัญเกือบหมด
รายงานดังกล่าว อ้างการวิเคราะห์ข้อมูลจากทะเบียนพาณิชย์ ของบริษัทที่ทำธุรกิจใน 18 กลุ่มธุรกิจและการถือครองหุ้นของญาติพี่น้อง 27 คนรวมทั้งเขยและสะใภ้ของนายฮุนเซ็นมีทุนจดทะเบียนรวมกันมากกว่า 200 ล้านดอลลาร์ (ประมาณ 7,200 ล้านบาท) โดยเชื่อว่าครอบครัวนายฮุน เซ็น ยังมีการถือครองหุ้นผ่านตัวแทนอีกมากซึ่งไม่ปรากฏในรายงานชิ้นนี้
โกลเบิลวิตเนส ระบุว่าการถือครองอาณาจักรธุรกิจขนาดใหญ่ทำให้ ครอบครัวฮุน เซ็น มีอำนาจครอบครองเกือบทั้งประเทศ เนื่องจากทางการเมืองนั้นอยู่ภายใต้อำนาจของนายฮุน เซ็นในฐานะนายกรัฐมนตรีอยู่แล้ว
รายงานของโกลเบิล วิตเนส ระบุว่าสินทรัพย์มูลค่ามหาศาลของครอบครัวฮุน เซ็น ขัดแย้งกับถ้อยแถลงการเปิดเผยสินทรัพย์ของนายฮุน เซ็น ที่ยื่นต่อหน่วยงานปราบคอร์รัปชันในปี 2554 ว่ามีแหล่งรายได้เพียงแหล่งเดียวคือเงินเดือนในตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ที่ได้ประมาณ 41,400 บาทต่อเดือนหรือประมาณ 1.49 ล้านบาทต่อปี
การเปิดเผยรายได้ของนายฮุน เซ็น ในครั้งนั้นความจริงไม่น่าจะมีคนเชื่อเท่าใดนักเพราะขัดแย้งกับการใช้ชีวิตที่หรูหราและการบริจาคเงินครั้งละมาก ๆ โดยระบุว่าควักจากกระเป๋าตัวเอง
รายงาน Hostile Takeover ระบุว่า จากตัวเลขทะเบียนพาณิชย์พบว่า ครอบครัวของนายฮุน เซ็น ถือหุ้นในบริษัทการค้า 17 แห่ง การเงิน 10 บริษัท ธุรกิจบันเทิงและโรงแรมที่พัก 10 บริษัท ธุรกิจท่องเที่ยวและค้าปลีก 8 บริษัท บริษัทก่อสร้างและพัฒนาที่ดิน 7 บริษัท ธุรกิจพลังงานรวมปั๊มน้ำมัน เหมืองแร่รวมทั้งสัมปทานขุดทรายและป่าไม้ ธุรกิจละ 6 บริษัท ธุรกิจสื่อที่รวมทั้งวิทยุและทีวี 5 บริษัท ธุรกิจขนส่ง 5 บริษัท ธุรกิจสื่อสาร 3 บริษัท สำนักงานกฎหมาย 3 แห่ง กาสิโน 2 แห่ง บริษัทรักษาความปลอดภัย 2 บริษัท เขตอุตสาหกรรมและบริษัทยาอีกจำนวนหนึ่ง
ในบริษัทต่าง ๆ ที่คนในครอบครัว ฮุน ร่วมถือหุ้น รวม 114 บริษัท มี 11 บริษัทที่ไม่ระบุวัตถุประสงค์ในการทำธุรกิจ ขณะที่อีก 103 บริษัทมีคนในครอบครัว ฮุน เป็นประธาน หรือไม่ก็กรรมการหรือถือหุ้นมากกว่า 25%
รายงานพิเศษของโกลเบิล วิตเนส ระบุด้วยว่าสินค้าแบรนด์ดัง ๆ ของโลกที่เข้าไปขายในกัมพูชา มักจะมีบริษัทของครอบครัว ฮุน ไม่ว่าจะเป็นแอปเปิล แคนนอน แอลจี เลอโนโว อิเลคโทรลักซ์ ไพโอเนียร์ เนสกาแฟ คลีเน็กซ์ ดูเร็กซ์ จอห์นนี่วอล์กเกอร์ เฮนเนสซี่ เบียร์โคโรน่า รวมถึงแบรนด์แฟชั่น ทอมมี่ ฮิลฟิงเกอร์ โปโล ราล์ฟลอเรน และออลเซนต์ส
เสียงจากฝ่ายฮุน เซ็น
หลังจากที่รายงานพิเศษของโกลเบิล วิตเนสเผยแพร่ในวันที่ 7 กรกฎาคมที่ผ่านมา โฆษกรัฐบาลกัมพูชานายฟาย ซิฟาน ให้สัมภาษณ์สื่อว่า รายงานดังกล่าวเป็นความพยายามสร้างการต่อต้านนายกรัฐมนตรีขณะที่ Ms. Soeng Sophary โฆษกกระทรวงพาณิชย์กล่าวว่า “ความสำเร็จทางธุรกิจของคนในครอบครัวนายกรัฐมนตรีเกิดจาก ชื่อเสียงที่ดีของแต่ละคน ทำให้นักลงทุนจากต่างประเทศเข้ามาร่วมทำธุรกิจด้วย”
“กฎระเบียบทางด้านการค้าเอกชนของกัมพูชา อาจจะยังไม่ดีเต็มที่ แต่เป็นตลาดการค้าเสรี ใครที่มีเงินสามารถลงทุนทำธุรกิจได้ไม่ว่าเป็นใครก็ตาม”
ทางด้านลูกหลานของนายฮุน เซ็นที่โดนกล่าวถึงในรายงานพิเศษของโกลเบิล วิตเนส ได้ดาหน้ากันออกมาตอบโต้รายงานพิเศษ โดยลูก 3 คนคือฮุนมานะ ลูกสาวของนายฮุน เซ็น และลูกชาย 2 คน ฮุนมาเน็ต และ ฮุนมานิธ ตอบโต้ในหน้าเฟซบุ๊กส่วนตัวระบุว่า ข้อมูลในรายงานส่วนใหญ่โกหกและหลอกลวง ซึ่งความจริงแล้วจะไม่มีผลในการเลือกตั้งแต่จะกลับช่วยพ่อของพวกเขาได้คะแนนเสียงมากขึ้น
ฮุนมานะซึ่ง ถือหุ้นใน 22 บริษัทเขียนที่หน้าเฟซบุ๊กว่า “ทุกครั้งที่ใกล้เลือกตั้งก็คาดได้ว่าหน่วยงานแห่งนี้จะออกมาทำลายชื่อเสียงของพ่อของฉัน”
นายฮุนมานิธ และ มาเน็ต เขียนตอบโต้ในหน้าเฟซบุ๊กในทำนองเดียวกันว่า “เป็นการโจมตีเพื่อทำลายชื่อเสียงของตระกูลฮุน เป็นรายงานที่ผิดพลาดและข้อมูลไม่ถูกต้อง” ขณะที่นายฮุน เซ็นไม่ตอบโต้ รายงานดังกล่าวแต่ให้สัมภาษณ์ว่า ลูกได้ใช้หน้าเฟซบุ๊กชี้แจงแล้ว
ทางด้านนายแพททริค อัลเลย์ ผู้ร่วมก่อตั้งโกลเบิล วิตเนส ออกแถลงการณ์ว่า ข้อมูลส่วนใหญ่ที่ปรากฏในรายงานพิเศษชิ้นนี้ส่วนใหญ่เป็นข้อมูลทางการที่คนในตระกูลฮุน เป็นผู้แจ้งเอง ดังนั้นแทนที่คนในตระกูลจะออกมาปฏิเสธข้อมูลของตัวเอง ควรจะแถลงเปิดเผยข้อมูลความเชื่อมโยงทางธุรกิจทั้งหมดจะดีกว่า
จากหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 36 ฉบับที่ 3,174 วันที่ 14 - 16 กรกฎาคม พ.ศ. 2559