KEY
POINTS
อุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ไทยกำลังเผชิญช่วงเปลี่ยนผ่านครั้งใหญ่ ความร่วมมือระหว่างภาครัฐและเอกชนเป็นแรงผลักดันสำคัญที่จะช่วยยกระดับอิเล็กทรอนิกส์ของไทย
นโยบาย CHIPS Act ของสหรัฐฯ
SCB EIC ประเมินว่า นับตั้งแต่ที่รัฐบาลสหรัฐฯ เดินหน้าใช้นโยบาย Chips Act อย่างเป็นทางการในปี 2022 เพื่ออัดฉีดอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ในประเทศมากขึ้น พร้อมสกัดการนำเข้าสินค้าเทคโนโลยีจากจีน ส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของ Global value chain ครั้งใหม่ โดยผู้ประกอบการเริ่มกระจายความเสี่ยงด้วยการย้ายฐานการผลิตกลับไปใกล้สหรัฐฯ (Nearshoring) และกลุ่มประเทศพันธมิตรทางการค้า (Friendshoring)
ขณะเดียวกันตลาดโลกก็มีแนวโน้มลดการพึ่งพาสินค้านำเข้าจากจีนมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในกลุ่มสินค้า Hi-tech1 สะท้อนได้จากข้อมูลของ Trade map พบว่า จีนมีมูลค่าการส่งออกสินค้า E&E ที่เกี่ยวข้องกับสินค้ากลุ่ม High-Tech ไปตลาดโลกหดตัวเฉลี่ย (CAGR) -4.1% ต่อปี (2021-2024)
อุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ไทยได้รับอานิสงส์ของโลกจากการย้ายฐาน ทั้งในมิติของการค้าและการดึงดูดเม็ดเงินลงทุน
1) ด้านการค้า : มูลค่าการส่งออกในกลุ่มสินค้า High-Tech ของไทยขยายตัวและสามารถเข้าไปมีส่วนแบ่งในตลาดโลกได้มากขึ้น จากข้อมูลพบว่า มูลค่าการส่งออกสินค้า High-Tech ของไทย ขยายตัวเฉลี่ย 7.6% ต่อปี (2021-2024) โดยเฉพาะในกลุ่มอุปกรณ์สื่อสาร, การประกอบและทดสอบชิป (Chip back-end) ที่ขยายตัวเฉลี่ยสูงถึง (CAGR) 30% และ 12% ต่อปี (2021-2024) ตามลำดับ และยังมีสัดส่วนการส่งออกไปตลาดโลกเพิ่มขึ้นทั้งกลุ่มประกอบและทดสอบชิป (Chip back-end) และกลุ่มอุปกรณ์สื่อสาร จาก 1.6% และ 0.8% ในปี 2018 มาอยู่ที่ 1.8% และ 2.0% ในปี 2024 ตามลำดับ อย่างไรก็ตาม สัดส่วนการส่งออกในกลุ่มสินค้า High-Tech ของไทยขยายตัวค่อนข้างจำกัด เนื่องจากการส่งออกสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ไทยส่วนใหญ่ยังคงเน้นไปที่การผลิตสินค้าขั้นกลางและสินค้าขั้นปลาย (รูปที่ 1)
ความท้าทายในอนาคตของอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ไทย
มองไปข้างหน้า แม้ว่าอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ไทยยังคงมีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่อง จากเม็ดเงินลงทุน FDI ที่ยังคงไหลเข้ามาอย่างต่อเนื่อง แต่ยังคงต้องเผชิญกับ “ด่านหิน” จากทั้งกำแพงภาษีสหรัฐฯ ความเสี่ยงที่จะสูญเสียความสามารถในการแข่งขันเมื่อเทียบกับคู่แข่งในภูมิภาค และความสามารถในการดึงดูด FDI เข้าประเทศ
1. อุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ไทยเผชิญความเสี่ยงที่สูงขึ้นจากกำแพงภาษีสหรัฐฯ แม้ภาษีตอบโต้ที่สหรัฐฯ ประกาศใช้กับสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ทั่วไป ยังไม่รวมสินค้าในกลุ่มไฮเทค เช่น คอมพิวเตอร์ อุปกรณ์สื่อสาร และเซมิคอนดักเตอร์ ที่ยังคงได้รับการยกเว้นภาษีเป็น 0% เป็นการชั่วคราว อย่างไรก็ตาม ในระยะข้างหน้า ยังคงมีความเสี่ยงในการปรับขึ้นอัตราภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ ซึ่งอยู่ระหว่างการพิจารณาภาษีเจาะจง (Specific tariff) ซึ่งคาดว่าจะส่งผลกระทบต่อการส่งออกสินค้า E&E ไปตลาดสหรัฐฯ โดยเฉพาะในกลุ่มที่พึ่งพาสหรัฐฯ เป็นหลัก เช่น คอมพิวเตอร์และส่วนประกอบ, เครื่องใช้ไฟฟ้า และชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ เป็นต้น นอกจากนี้ ไทยยังคงเฝ้าระวังความเสี่ยงจากการเก็บภาษีสินค้าสวมสิทธิ์และการกำหนดหลักเกณฑ์ Local content ถึงแม้ว่าปัจจุบันสหรัฐฯ ยังไม่ได้มีการประกาศใช้อย่างเป็นทางการ แต่แน่นอนว่าหากมีการบังคับใช้อย่างจริงจังในระยะข้างหน้า คาดว่าจะส่งผลกระทบต่อการส่งออกสินค้า E&E ไทย โดยเฉพาะในกลุ่มชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์และอุปกรณ์คอมพิวเตอร์ เนื่องจากมีสัดส่วนการพึ่งพาวัตถุดิบนำเข้าเป็นสัดส่วนสูง
2. ไทยยังมีความสามารถทางการแข่งขันในการส่งออกผลิตภัณฑ์อิเล็กทรอนิกส์ขั้นสูงค่อนข้างจำกัด สะท้อนจากสัดส่วนการส่งออกชิปขั้นสูง (Chip front-end) ที่เป็นชิปต้นน้ำไปตลาดโลกค่อนข้างน้อยเมื่อเทียบกับประเทศคู่แข่ง โดยจากข้อมูลพบว่า ในปี 2024 ไทยมีสัดส่วนการส่งออกชิปขั้นสูง/แผงวงจรไฟฟ้า (IC), การประกอบและทดสอบชิป (Chip back-end) ไปตลาดโลกเพียง 0.8% และ 1.8% ตามลำดับ เมื่อเปรียบเทียบกับประเทศคู่แข่งอย่างมาเลเซียที่ได้เริ่มเข้าไปมีบทบาทในห่วงโซ่อุปทานการผลิตชิปต้นน้ำมากขึ้นเรื่อย ๆ สะท้อนได้จากสัดส่วนการส่งออกชิปขั้นสูงและแผงวงจรไฟฟ้าของมาเลเซียที่ขยายตัวมากขึ้นจาก 6.5% ในปี 2018 มาอยู่ที่ 7.2% ในปี 2024 เช่นเดียวกันกับเวียดนามที่ขยับขึ้นมามีสัดส่วนการส่งออกประกอบและทดสอบชิป (Chip back-end) มากขึ้นจาก 2.0% ในปี 2018 มาอยู่ที่ 2.3% ในปี 2024
3. การสร้างห่วงโซ่อุปทานการผลิตเพื่อดึงดูดการลงทุนในกลุ่มสินค้า High-Tech ไทยยังคงเผชิญความท้าทายจากการที่คู่แข่งอย่างมาเลเซียและเวียดนามที่สามารถดึงดูด FDI ในกลุ่ม Front-end ได้มากกว่า ขณะที่มาเลเซียมีคลัสเตอร์ปีนังที่เป็นฐานประกอบและทดสอบชิป (Chip back-end) ที่แข็งแกร่งและมีความพร้อมด้านแรงงานทักษะสูงจึงสามารถดึงดูดนักลงทุนอย่าง Nvidia และ Infineon ให้ลงทุนผลิตชิป Front-end ได้มากขึ้น ขณะที่เวียดนาม แม้จะไม่ได้เก่งด้านเทคโนโลยีเท่ามาเลเซียแต่ก็พยายามสร้าง Hi-Tech Park ซึ่งสามารถดึงดูดให้ Nvidia สร้าง R&D ด้าน AI ในประเทศได้สำเร็จ หากมองย้อนกลับมาที่ไทย ที่ผ่านมารัฐบาลไทยภายใต้ BOI ได้พยายามปูทางการเป็นฮับอิเล็กทรอนิกส์แห่งอนาคตด้วยการให้สิทธิประโยชน์ทางภาษีที่ครอบคลุมกลุ่มสินค้าชิปต้นน้ำและคลัสเตอร์ PCB มากขึ้น โดยเห็นว่าไทยยังมีความพร้อมจากการมีห่วงโซ่อุปทานสินค้า E&E ขั้นกลางที่แข็งแกร่งและมีแนวโน้มที่จะสามารถพัฒนาไปสู่การผลิตชิปต้นน้ำได้มากขึ้น โดยสิ่งที่ไทยต้องเร่งดำเนินการต่อไปในระยะข้างหน้าคือ การดึงดูดซัพพลายเออร์ของผู้ที่อยู่ในห่วงโซ่อุปทานการผลิตชิปต้นน้ำและคลัสเตอร์ PCB ให้มากขึ้น เพื่อแสดงให้นักลงทุนเห็นว่าไทยมีความพร้อมที่จะเป็นฮับอิเล็กทรอนิกส์เช่นเดียวกันกับคู่แข่ง (รูปที่ 2)
2) ด้านการลงทุน : แนวโน้มการลงทุน FDI ในอุตสาหกรรม E&E ของไทยเติบโตโดดเด่น ในช่วงปี 2023-2024 มีเม็ดเงินลงทุน FDI เข้ามาลงทุนในอุตสาหกรรม E&E รวมกันมากถึง 523,728 ล้านบาท และต่อเนื่องมายังครึ่งแรกของปี 2025 ที่มีต่างชาติเข้ามาขอรับการส่งเสริมการลงทุนในอุตสาหกรรม E&E ราว 12% ของการขอรับการส่งเสริมการลงทุนทั้งหมด หรือมีมูลค่าการลงทุนราว 125,786 ล้านบาท
โดยมีโครงการลงทุนขนาดใหญ่2 คือ 1) การผลิตตัวเก็บประจุชนิดพิเศษที่ใช้ในอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ เช่น Notebook, Smartphone 2) การประกอบและทดสอบชิป (Chip back-end) และ 3) การผลิตแผงวงจรอิเล็กทรอนิกส์ ที่รวมการผลิต PCB ซับซ้อนสูง โดย SCB EIC มองว่า แม้การลงทุน FDI ในอุตสาหกรรม E&E ของไทยเริ่มส่งสัญญาณชะลอลงจากฐานที่สูงในปีก่อนหน้า อย่างไรก็ดี คาดว่าแนวโน้มการลงทุน FDI ของไทยในระยะข้างหน้า จะเน้นไปที่การสร้าง Ecosystem ในกลุ่มซัพพลายเออร์ของผู้ผลิตชิปรายใหญ่ เช่น Foxsemicon และ Infineon ที่เข้ามาลงทุนในช่วงก่อนหน้านี้
SCB EIC มองว่า ผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ไทยต้องเร่งมือปรับกลยุทธ์เพื่อให้สามารถแข่งขันในตลาดโลกได้ ดังนี้
1) จัดทำแผนประเมินความเสี่ยง/ส่งเสริมการใช้วัตถุดิบในประเทศ จัดทำแผนประเมินความเสี่ยงในกลุ่มสินค้าที่คาดว่าจะได้รับผลกระทบจากการปรับขึ้นภาษีและมาตรการสวมสิทธิ์ของสหรัฐฯ รวมถึงการทบทวนต้นทุนการผลิต และมองหาพันธมิตรใหม่ ๆ เพื่อลดการพึ่งพาวัตถุดิบจากจีนและเพิ่มสัดส่วนวัตถุดิบในประเทศให้มากขึ้น โดยเมื่อไทยมีสัดส่วน Local content สูง ก็จะช่วยให้ไทยไม่โดนเรื่องสินค้าสวมสิทธิ์ และทำให้สินค้า E&E ของไทยสามารถแข่งขันในตลาดโลกได้มากยิ่งขึ้น
2) เปิดตลาดใหม่เพื่อลดการพึ่งพาสหรัฐฯ โดยกระจายความเสี่ยงไปยังตลาดอื่น ๆ ที่มีศักยภาพมากขึ้นเพื่อลดการพึ่งพาสหรัฐฯ เช่น อาเซียน, ตะวันออกกลาง และลาตินอเมริกา เป็นต้น
3) การพัฒนาไปสู่อุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์สีเขียวมากขึ้น ตั้งแต่การจัดหาวัสดุที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ลดการใช้สารเคมีอันตราย ไปจนถึงการบริหารจัดการขยะอิเล็กทรอนิกส์
4) การส่งเสริมการพัฒนาทักษะแรงงานที่มีทักษะสูงและสอดคล้องกับความต้องการของตลาดแรงงานมากขึ้น เช่น วิศวกรผู้ชำนาญ, ผู้พัฒนาซอฟต์แวร์ และนักวิเคราะห์ข้อมูลเชิงลึก เป็นต้น
5) การส่งเสริมการลงทุนด้านการวิจัยและพัฒนาเพื่อให้เกิดการผลิตสินค้าต้นน้ำที่มีมูลค่าเพิ่มสูงขึ้น
6) สร้างห่วงโซ่อุปทานการผลิตที่แข็งแกร่งเพื่อดึงดูดเม็ดเงินลงทุนจากต่างประเทศ ภาครัฐและเอกชนควรร่วมมือกันเร่งพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานทั้งระบบน้ำ ไฟฟ้า รวมถึงโครงสร้างพื้นฐานทางดิจิทัล เพื่อสร้างความเชื่อมั่นและดึงดูดผู้ลงทุนต่างชาติให้เข้ามาลงทุนในไทยมากขึ้น
อุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ไทยกำลังเผชิญกับช่วงเปลี่ยนผ่านครั้งใหญ่ ซึ่งถือได้ว่าเป็นจุดเชื่อมต่อสำคัญในการก้าวเข้าไปสู่ห่วงโซ่อุปทานการผลิตในยุคที่การค้าโลกเปลี่ยนแปลงไป ความร่วมมือกันระหว่างภาครัฐและเอกชนจึงเป็นแรงผลักดันสำคัญที่จะช่วยยกระดับอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ของไทยให้ก้าวสู่การเป็นอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์แห่งอนาคตได้อย่างสมบูรณ์