เอกชนแนะ’รัฐบาลใหม่’ปรับโครงสร้างเลิก OEM ปั้นอุตฯมูลค่าสูง

26 ธ.ค. 2568 | 07:04 น.
อัปเดตล่าสุด :26 ธ.ค. 2568 | 07:04 น.

ประธาน ส.อ.ท.แนะรัฐบาลใหม่ปรับโครงสร้างใหม่เลิก OEM มุ่งสู่อุตสาหกรรมที่สร้างมูลค่าเพิ่มสูง ยกระดับขีดความสามารถการแข่งขัน

KEY

POINTS

  • ภาคเอกชนเสนอให้รัฐบาลใหม่เร่งปรับโครงสร้างอุตสาหกรรมไทย โดยเปลี่ยนจากการเป็นผู้รับจ้างผลิต (OEM) ไปสู่อุตสาหกรรมที่สร้างมูลค่าเพิ่มสูง
  • แนะให้ส่งเสริมการใช้เทคโนโลยี นวัตกรรม และพลังงานสะอาด เพื่อยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขันและเพิ่มผลิตภาพแรงงาน
  • ควรเสริมความแข็งแกร่งให้ผู้ประกอบการโดยเฉพาะ SMEs และสนับสนุนสินค้าที่ผลิตในประเทศ (Made in Thailand) ผ่านกลไกภาครัฐ เช่น ภาษี และการจัดซื้อจัดจ้าง

นายเกรียงไกร เธียรนุกุล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผยกับ “ฐานเศรษฐกิจ” ถึงทิศทางแนวโน้มเศรษฐกิจ และภาคอุตสาหกรรมไทยปี 69 ว่า จะเป็นอีกหนึ่งปีที่ยังต้องดำเนินไปท่ามกลางความไม่แน่นอนสูง ทั้งจากปัจจัยภายนอกประเทศและข้อจำกัดเชิงโครงสร้างภายในประเทศเอง 

ทั้งนี้ ภาคอุตสาหกรรมจึงยังอยู่ในภาวะประคองตัวมากกว่าการฟื้นตัวอย่างเต็มศักยภาพ ซึ่งหากปล่อยให้เศรษฐกิจชะลอลงต่อเนื่องโดยไม่มีแรงพยุง ก็มีความเสี่ยงที่เศรษฐกิจไทยจะเข้าสู่ภาวะชะงักงันคล้ายกับรถติดหล่ม คือแม้จะพยายามเร่งเครื่อง แต่ไม่สามารถขยับไปข้างหน้าได้อย่างแท้จริง

โดยในมิติของนโยบายภาคอุตสาหกรรมเห็นว่าการปรับโครงสร้างเศรษฐกิจผ่านแนวคิด Reinvent Thailand เป็นหัวใจสำคัญในการยกระดับศักยภาพของประเทศ ทั้งการสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับภาคการผลิต การเสริมความแข็งแกร่งตลอด Supply Chain ด้วยหลักคิดพี่ช่วยน้อง และการส่งเสริมการใช้ Local Content และสินค้า Made in Thailand ผ่านกลไกต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นมาตรการภาษี การสนับสนุนเงินทุน หรือการให้แต้มต่อผ่านการจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐ ซึ่งสอดคล้องกับมาตรการ Quick Big Win ที่รัฐบาลได้เริ่มขับเคลื่อนเพื่อช่วยเหลือ SMEs ไทยในช่วงที่ผ่านมา

เอกชนแนะ’รัฐบาลใหม่’ปรับโครงสร้างเลิก OEM ปั้นอุตฯมูลค่าสูง

ด้านเสถียรภาพทางการเมือง การมีการเลือกตั้งใหม่ในปี 69 หากสามารถนำไปสู่รัฐบาลที่มีเอกภาพและมีนโยบายที่ชัดเจนต่อเนื่อง จะช่วยเสริมเสถียรภาพทางการเมือง ฟื้นฟูความเชื่อมั่นของนักลงทุน และเอื้อต่อการขับเคลื่อนนโยบายเศรษฐกิจและการปฏิรูปเชิงโครงสร้างให้เดินหน้าได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น

ดังนั้น ปี 69 จะเป็นปีที่เศรษฐกิจไทยยังต้องเดินบนเส้นทางที่เปราะบาง แต่ขณะเดียวกันก็เป็นช่วงเวลาสำคัญในการวางรากฐานการปรับโครงสร้างประเทศให้สามารถก้าวพ้นข้อจำกัดเดิมที่สะสมมาเป็นเวลานาน ในมุมมองของภาคอุตสาหกรรม การขับเคลื่อนเศรษฐกิจในระยะต่อไปจำเป็นต้องมุ่งแก้ปัญหาเชิงโครงสร้างควบคู่กับการประคองเศรษฐกิจระยะสั้น 

“รัฐบาลใหม่ที่จะเข้ามาทำหน้าที่ในต้นปีหน้า ควรเร่งยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศผ่านการปรับโครงสร้างอุตสาหกรรมจากการรับจ้างผลิต (OEM) ไปสู่อุตสาหกรรมที่สร้างมูลค่าเพิ่มสูง การส่งเสริมการใช้เทคโนโลยี นวัตกรรม ระบบอัตโนมัติ และพลังงานสะอาด เพื่อเพิ่มผลิตภาพแรงงานและลดต้นทุนในระยะยาว”

อีกทั้งจำเป็นต้องเร่งเสริมความแข็งแกร่งให้ผู้ประกอบการตลอดห่วงโซ่อุปทาน โดยเฉพาะ SMEs ผ่านกลไกความร่วมมือระหว่างภาครัฐและเอกชน การเพิ่มการใช้ Local Content และสินค้า Made in Thailand รวมถึงการใช้มาตรการภาษี การสนับสนุนเงินทุน และการจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐเป็นเครื่องมือสร้างอุปสงค์ในประเทศ 

นอกจากนี้ รัฐควรสร้างเสถียรภาพเชิงนโยบาย ลดอุปสรรคด้านกฎระเบียบ และยกระดับการบริหารจัดการภัยพิบัติให้เป็นระบบ เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุนและภาคธุรกิจ หากสามารถขับเคลื่อนแนวทางดังกล่าวได้อย่างจริงจังต่อเนื่อง และมีเป้าหมายร่วมกันเป็น 
ONE Thailand เศรษฐกิจไทยยังมีโอกาสเปลี่ยนความไม่แน่นอนในปัจจุบันให้เป็นจุดเริ่มต้นของการยกระดับโครงสร้างเศรษฐกิจ และนำไปสู่การเติบโตที่มั่นคงและยั่งยืนในระยะยาว