เตือน “เอเลี่ยนสปีชีส์” ระบาดหนัก แก้ไม่ตรงจุดเหตุช่องโหว่ลักลอบนำเข้า

17 พ.ย. 2568 | 04:40 น.
อัปเดตล่าสุด :17 พ.ย. 2568 | 04:47 น.

ปัญหาการแพร่ระบาดของสัตว์น้ำต่างถิ่นในแหล่งน้ำไทยยังพุ่งต่อเนื่อง ไม่มีหลักฐานการนำเข้า ต้นตอสู่ทำลายสมดุลระบบนิเวศ นักวิชาการเร่งเสนอรัฐวางกลไกควบคุม

KEY

POINTS

  • นักวิชาการชี้ว่า ปัญหาการระบาดของเอเลี่ยนสปีชีส์มีสาเหตุหลักมาจากการลักลอบนำเข้า ซึ่งเป็นช่องโหว่สำคัญที่ทำให้สัตว์ต่างถิ่นหลุดรอดสู่แหล่งน้ำธรรมชาติ
  • ข้อมูลพบว่า สัตว์น้ำต่างถิ่นที่เข้ามาในประเทศกว่าร้อยละ 50 ไม่มีหลักฐานการนำเข้าที่ถูกต้อง ซึ่งสะท้อนว่าการลักลอบเป็นปัญหาใหญ่ที่รัฐต้องเร่งแก้ไข
  • แนวทางแก้ปัญหาที่เสนอ คือ การคุมเข้มที่ต้นทาง โดยเพิ่มความเข้มงวดด้านเอกสารนำเข้า-ส่งออก และเพิ่มกำลังคนให้กรมประมงเพื่อการเฝ้าระวังที่ครอบคลุม

นักวิชาการด้านสิ่งแวดล้อมออกโรงเตือนปัญหาการลักลอบนำเข้าสัตว์น้ำต่างถิ่น หรือ “เอเลี่ยนสปีชีส์” ในประเทศไทยกำลังกลายเป็นปัจจัยหลักที่ทำให้หลายชนิดหลุดรอดออกสู่แหล่งน้ำธรรมชาติ และแพร่กระจายจนสร้างผลกระทบด้านระบบนิเวศเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว โดยชี้เฉพาะประเด็น “การลักลอบนำเข้า” เป็นช่องโหว่ที่ใหญ่ที่สุด ซึ่งรัฐต้องเร่งปิดให้ได้ตั้งแต่ต้นทาง ไม่ใช่แก้หลังเกิดปัญหาเหมือนที่ผ่านมา

รายงานข่าวระบุว่า ช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา มีการพบปลาต่างถิ่นหลากหลายชนิด อาทิ ปลาหมอบัตเตอร์ ปลาหมอมายัน ปลาซักเกอร์ และปลาอโรวาน่า กระจายตัวในแหล่งน้ำหลายพื้นที่ทั่วประเทศ ขณะที่กรมประมงต้องเร่งออกมาตรการควบคุม แต่ยังติดข้อจำกัดด้านบุคลากร ทำให้ไม่สามารถเฝ้าระวังได้อย่างทั่วถึง

ดร.ชัยภัฏ จันทร์วิไล ประธานเครือข่ายเสียงจากป่า ให้ข้อมูลว่า ในทางวิทยาศาสตร์ เอเลี่ยนสปีชีส์หมายถึงสัตว์หรือพืชที่ไม่ใช่ชนิดพันธุ์ดั้งเดิมของพื้นที่ แม้หลายชนิดถูกนำเข้ามาอย่างถูกต้องเพื่อการวิจัยและสร้างเศรษฐกิจ แต่ปัญหาใหญ่ที่ทำให้เกิดผลกระทบรุนแรงในธรรมชาติกลับมาจาก “การลักลอบนำเข้า” เป็นหลัก

“ข้อมูลจากภาคสนามชี้ชัดว่า การลักลอบนำเข้าสัตว์น้ำเหล่านี้เป็นหัวใจของปัญหา เพราะเมื่อไม่ผ่านกระบวนการตรวจสอบ ก็ไม่มีข้อมูลติดตามที่มาหรือพื้นที่เลี้ยง เมื่อมีการปล่อยหรือหลุดรอดก็แพร่พันธุ์อย่างรวดเร็ว” ดร.ชัยภัฏกล่าว พร้อมย้ำว่ากรมประมงต้องแบกรับภาระควบคุมสิ่งมีชีวิตจำนวนมาก โดยมีกำลังคนจำกัดไม่ต่างจากการปราบปรามยาเสพติดที่ต้องอาศัยหลายหน่วยงานร่วมกัน

เครือข่ายเสียงจากป่าระบุว่า การตรวจสอบข้อมูลการนำเข้าสัตว์น้ำต่างถิ่นพบว่า มากถึง ร้อยละ 50 “ไม่มีหลักฐานการนำเข้า” ซึ่งอนุมานได้ว่ามาจากการลักลอบเป็นหลัก และถือเป็นสัญญาณอันตรายที่รัฐต้องเร่งอุดช่องโหว่โดยด่วน

สำหรับประเด็นที่กำลังเป็นกระแสบนโลกออนไลน์อย่าง “ปลาหมอคางดำ” ดร.ชัยภัฏชี้ว่า ข้อมูลที่แชร์ต่อๆ กันจำนวนมากเป็นความเข้าใจผิด เพราะปลาชนิดนี้ไม่ใช่นักล่าที่กัดกินสัตว์น้ำอื่นอย่างที่ถูกกล่าวหา แต่เป็นปลาในวงศ์ Cichlidae ที่พบว่ามีพฤติกรรมกินเศษอินทรียวัตถุ สาหร่าย และแพลงก์ตอนเป็นหลัก จากหลักฐานทางวิทยาศาสตร์และรายงานของ FAO

“ฟันและระบบย่อยอาหารของปลาหมอคางดำไม่ใช่แบบนักล่า แต่เป็นแบบกรองและย่อยสลาย มีบทบาทในระบบนิเวศน้ำกร่อยหรือน้ำเสียมากกว่า” เขาระบุ พร้อมเตือนสังคมให้ใช้ข้อมูลทางวิทยาศาสตร์ประกอบการวิจารณ์

นักวิชาการเสนอว่า แนวทางแก้ปัญหาต้องเริ่มจากการเพิ่มความเข้มงวดด้านข้อมูลและเอกสารนำเข้า–ส่งออกสัตว์น้ำทุกชนิด เพื่อให้ติดตามย้อนกลับได้ และลดโอกาสเกิดการลักลอบ พร้อมทั้งเพิ่มเครื่องมือ–บุคลากรให้กรมประมง เพื่อให้การเฝ้าระวังครอบคลุมมากขึ้น

ดร.ชัยภัฏ ย้ำว่า แม้การนำเข้าสัตว์น้ำต่างถิ่นจะมีส่วนช่วยพัฒนาเศรษฐกิจ แต่หากรัฐไม่ควบคุมให้รัดกุม โดยเฉพาะการลักลอบนำเข้า ความหลากหลายทางชีวภาพของไทยย่อมเสี่ยงเสียหายยากจะแก้ไขในระยะยาว การจัดการตั้งแต่ต้นทางคือคำตอบที่จำเป็นที่สุดในเวลานี้