สสส.-พันธมิตรยกระดับลดปัจจัยเสี่ยงเกิดโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง

09 พ.ย. 2568 | 22:11 น.

สสส.ผนึกพันธมิตรเดินหน้ายกระดับลดปัจจัยเสี่ยงการเกิดโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง รุกส่งเสริมการมีกิจกรรมทางกายที่เพียงพอ

KEY

POINTS

  • สสส. และภาคีเครือข่ายร่วมมือยกระดับการลดปัจจัยเสี่ยงโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง (NCDs) โดยมุ่งเน้นการส่งเสริมให้ประชาชนมีกิจกรรมทางกายที่เพียงพอ
  • ตั้งเป้าหมายระดับประเทศเพื่อเพิ่มอัตราการมีกิจกรรมทางกายที่เพียงพอของคนไทยจาก 68% เป็น 75% หลังพบว่าสถานการณ์ในรอบ 12 ปีที่ผ่านมายังต่ำกว่าเกณฑ์
  • จัดงานสัมมนา SEAPAC 2025 เพื่อสร้างเครือข่ายความร่วมมือระดับภูมิภาค (Physical Activity Hub) ในการขับเคลื่อนและผลักดันนโยบายด้านกิจกรรมทางกาย

ดร.นพ.ไพโรจน์ เสาน่วม รองผู้จัดการกองทุน สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) เปิดเผยว่า ได้ดำเนินการยกระดับการลดปัจจัยเสี่ยงต่อการเกิดโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง (NCDs) โดยเฉพาะการส่งเสริมการมีกิจกรรมทางกายที่เพียงพอ เพื่อให้มีสุขภาพดีตลอดช่วงชีวิต

หลังจากมีรายงานสถานการณ์การมีกิจกรรมทางกายของประชากรไทย ในรอบ 12 ปี (ปี 2555-2566) พบคนไทยมีระดับการมีกิจกรรมทางกายที่เพียงพอต่ำกว่า 70% 

โดยผ่านการดำเนินการ่วมกับศูนย์พัฒนาองค์ความรู้ด้านกิจกรรมทางกายประเทศไทย (ทีแพค) ,สถาบันวิจัยประชากรและสังคม ,มหาวิทยาลัยมหิดล จัดการสัมมนาด้านกิจกรรมทางกายในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ 2025 (South-East Asia Physical Activity Conference 2025 - SEAPAC 2025)

ซึ่งถือเป็นก้าวแรกของแผนการสร้างเครือข่ายความร่วมมือ Physical Activity Hub เพื่อเป็นกลไกกลางในการขับเคลื่อนกิจกรรมทางกายระดับภูมิภาค โดยมีเป้าหมายสำคัญ 1. ระดับบุคคล ควรเพิ่มการมีกิจกรรมทางกายระดับปานกลาง 150–300 นาทีต่อสัปดาห์ หรือระดับหนักอย่างน้อย 85 นาทีต่อสัปดาห์ 

สสส.-พันธมิตรยกระดับลดปัจจัยเสี่ยงเกิดโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง

,2. ระดับประเทศ ควรยกระดับอัตราการมีกิจกรรมทางกายที่เพียงพอจาก 68% เพิ่มเป็น 75% และ3. ระดับภูมิภาคและโลก ควรลดช่องว่างของความเหลื่อมล้ำ ทั้งด้านโครงสร้างพื้นฐาน ทุน และนโยบายสนับสนุน

“ไทยมีความพร้อมในการขับเคลื่อนทั้งด้านวิชาการ งานวิจัย เชื่อมต่อข้อมูล และผลักดันให้กิจกรรมทางกายของประชากรในภูมิภาคนี้เพิ่มขึ้น ซึ่งการยกระดับกิจกรรมทางกายถูกหยิบยกมาหารือในเวที SEAPAC 2025 แต่ละประเทศได้แลกเปลี่ยนองค์ความรู้ทางวิชาการและผลการวิจัย นวัตกรรมใหม่ การออกแบบโมเดลที่มีความหลากหลายของการมีกิจกรรมทางกาย ที่นำไปสู่การพัฒนานโยบายและแนวทางปฏิบัติที่ส่งเสริมให้ประชาชนในภูมิภาคสามารถเข้าถึงและมีกิจกรรมทางกายเพิ่มขึ้น ช่วยลดปัจจัยเสี่ยงต่อปัญหาสุขภาพในระยะยาว โดยคาดว่าในระยะ 10-20 ปี โรค NCDs จะลดลง สุขภาพประชาชนโดยรวมจะดีขึ้น ประชากรมีอายุยืนขึ้น สร้างคุณภาพชีวิตที่ดีได้อย่างยั่งยืน” 

ดร. ไอ่หลาน หลี่ (Dr. Ailan Li) ผู้แทนองค์การอนามัยโลก (WHO Representative) ประจำประเทศไทย กล่าวว่า การมีกิจกรรมทางกายช่วยป้องกันโรค NCDs ช่วยเรื่องสุขภาพจิต สุขภาวะและเสริมสร้างคุณภาพชีวิต และยังช่วยให้คนในสังคมได้มีปฏิสัมพันธ์ซึ่งกันและกัน องค์การอนามัยโลกพบว่าปัจจุบัน ประชากรวัยผู้ใหญ่ 2 ใน 3 ของประชากรในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ไม่ค่อยขยับตัว เด็กและเยาวชนมีภาวะเนือยนิ่ง ซึ่งเป็นความท้าทายที่แต่ละหน่วยงานต้องร่วมมือกัน ดังนั้นการมีกิจกรรมทางกายไม่ใช่เป็นเพียงแค่การส่งเสริมการออกกำลังกาย แต่ต้องเป็นการผนวกการเคลื่อนไหวในชีวิตประจำวันจนกลายเป็นนิสัย

“ในส่วนของประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ WHO ส่งเสริมให้รัฐบาลของแต่ละประเทศวางเป้าหมายการส่งเสริมกิจกรรมทางกายที่สอดคล้องกับสภาพสังคม และสนับสนุนให้ผู้นำในแต่ละเมืองมีการออกแบบเมืองสีเขียวเป็นเมืองสุขภาพดี ดังนั้นรัฐบาลต้องกำหนดเป้าหมาย สร้างสังคมให้มีการเคลื่อนไหว ส่งเสริมให้ประชาชนมีกิจกรรมทางกายเพิ่มขึ้น”

ศาสตราจารย์ อาจารย์ มาร์ค เอส. เทรมเบลย์ จาก Active Healthy Kids Global Alliance กล่าวว่า ขณะนี้ประชากรโลกมีกิจกรรมทางกายลดลงโดยเฉพาะเด็กและเยาวชน เป็นกลุ่มวัยมีการเคลื่อนไหวน้อยลงอย่างชัดเจน จึงมีความจำเป็นที่จะต้องขับเคลื่อนการทำงานด้านกิจกรรรมทางกาย  โดยใช้วิธีเรียนรู้กรณีศึกษาจากแต่ละประเทศที่ทำได้ดีและประสบความสำเร็จ เช่น ประเทศเดนมาร์ค มีค่าเฉลี่ยของเด็กและเยาวชนที่มีความ Active มากกว่าประเทศไทย 

นอกจากนี้ การทำงานด้านกิจกรรมทางกายมีส่วนเกี่ยวข้องกับปัจจัยทางด้านวัฒนธรรมด้วย ดังนั้น เราควรผลักดันให้กิจกรรมทางกายกลายเป็นบรรทัดฐานใหม่ของสังคม

“สำหรับประเทศไทยข้อมูลจาก Global Matrix 4.0 ว่าด้วยเรื่องกิจกรรมทางกาย  ประเทศไทยยังอยู่ในระดับที่ต้องพัฒนา ดังนั้นกิจกรรมทางกายควรจะเป็นวาระสำคัญเช่นเดียวกับปัญหาภาวะโลกร้อน ต้องทำให้สังคมตระหนักว่ากิจกรรมทางกายเป็นเรื่องของทุกคน”